วันอังคารที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

ประวัติดอกบัว

ประวัติดอกบัวตอง
เมื่อเอ่ยถึงจังหวัดแม่ฮ่องสอน สิ่งแรกที่ผุดขึ้นในมโนภาพของหลายๆคนก็คงจะเป็นความงดงาม ดอกบัวตองสีเหลืองอร่าม ที่พร้อมใจกันผลิบานต้อนรับฤดูหนาว ห่มคลุมดอยแม่อูคอที่อำเภอขุนยวม และดอยแม่เหาะที่อำเภอแม่สะเรียงทุกวันนี้ดูเหมือนดอกบัวตองได้กลายเป็น สัญลักษณ์ประจำจังหวัดแม่ฮ่องสอน ไปแล้ว
แต่หลายคนคงประหลาดใจเมื่อได้ทราบว่าแท้จริงแล้วดอกบัวตอง หาใช่พืชท้องถิ่นของแม่ฮ่องสอนไม่ หากมีแหล่งกำเนิดอยู่ในแถบทวีปอเมริกากลางและหมู่เกาะอินเดียตะวันตกโน่น ชื่อที่เป็นทางการของบัวตองก็คือ Mexican Sunflower บัวตองจัดเป็นวัชพืชวงศ์เดียวกับทานตะวัน ดาวเรือง และต้นสาบเสือด้วยรูปลักษณ์ ที่คล้ายคลึงกับดอกทานตะวันบางครั้งมันจึงถูกเรียกว่า ทานตะวันป่าหรือทานตะวันดอยแต่หากพิจารณาดูอย่าง ใกล้ชิดจะพบว่ากระเปาะตรงกลางของดอกทานตะวันนั้นมีขนาดใหญ่
ส่วนกลีบดอกที่ล้อมรอบนั้นมีขนาดสั้น ดอกบัวตองมีกระเปาะตรงกลางขนาดเล็ก แต่มีกลีบดอกที่ยาวกว่ากล่าวกันว่าผู้ที่นำเมล็ดพันธุ์บัวตองข้ามน้ำข้าม ทะเล มาแพร่พันธุ์คือ มิชชันนารีที่เข้ามาเผยแพร่ศาสนา
คริสต์ในดินแดนแถบนี้ แม้จะไม่มีหลักฐานว่ามิชชันนารีผู้นั้นเป็นใคร แต่พอจะอนุมานได้ว่า ดอกบัวตองคงจะเข้ามาแพร่กระจายในดินแดนแถบนี้เมื่อไม่เกิน 70 ปี มานี้เอง เพราะก่อนหน้านี้พื้นที่ ี่ในบริเวณจังหวัดแม่ฮ่องสอน ปกคลุมไปด้วยป่าไม้หนาทึบจวบจนกระทั่งบริษัทบอมเบย์ เบอร์ม่า ที่ได้รับสัมปทานป่าในบริเวณ นี้ตัดไม้สักออกขายนั่นแหละ ป่าที่เคยหนาทึบ จึงกลับกลายเป็นที่โล่ง เปิดทางให้บัวตอง ซึ่งขยายพันธุ์ได้รวดเร็วในภูมิประเทศที่เป็นทุ่งโล่งเข้าเบ่งบานครอบครอง พื้นที่จนกลายเป็น เจ้าถิ่นไปในที่สุดดังในปัจจุบัน
ที่มา http//www.google.com

ประวัติดอกมะลิ

ประวัติดอกมะลิ

Mar 3, '08 8:15 AMfor everyone
ประวัติของดอกมะลิ


สมัยก่อนนั้นไม่มีการกำหนดวันแม่ให้แน่
ชัดเนื่องจากเกิดเหตุการณ์หลายอย่าง การจัดวันแม่ขึ้น
เป็นครั้งแรกในประเทศไทยเมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2486ณ สวนอัมพร
แต่เนื่องจากช่วงนั้น เป็นช่วงสงครามโลก ปีต่อมาจึงงดหลายฝ่ายพยายาม
รื้อฟื้นวันแม่ขึ้นมา แต่ไม่ประสบความสำเร็จและได้วันที่เป็นที่รับรองของรัฐบาล
คือวันที่ 15 เมษายน เริ่มขึ้นในปี 2493จัดในวันนี้ไปอีกหลายปีแต่ต้องหยุดชะงัก
ลงเพราะกระทรวงวัฒนธรรมโดนยุบ ต่อมาได้กำหนดจัดวันแม่วันที่ 4 ตุลาคม เริ่มในปี 2515
แต่จัดได้เพียงปีเดียวก็เลิกไป จนกระทั่งในปี 2519 คณะกรรมการอำนวยการ สภาสังคมสงเคราะห์
แห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์เห็นว่าควรกำหนดวันแม่ให้แน่นอนเสียที จึงได้กำหนดวันแม่ใหม่
โดยให้ถือว่าวันเสด็จพระราชสมภพของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ วันที่ 12 สิงหาคม เป็นวันแม่
แห่งชาติ และ กำหนดให้ดอกมะลิเป็นดอกไม้สัญลักษณ์ของวันแม่ ตั้งแต่นั้นมาเหตุผลที่ให้ดอกมะลิ เป็นดอกไม้

สัญลักษณ์ของวันแม่ ก็เนื่องจาก ดอกมะลิเป็นดอกไม้ที่มีสีขาวบริสุทธิ์ ส่งกลิ่นหอมไปไกลและหอมได้นาน อีกทั้ง
ยังออกดอกได้ตลอดทั้งปี เปรียบได้กับ ความรักอันบริสุทธิ์ของแม่ที่มีต่อลูกไม่มีวันเสื่อมคลาย…

ที่มา http//www.google.com
Prev: ประวัติของดอกกุหลาบNext: ชวนชม

ประวัติดอกทิวลิป

ลักษณะดอกทิวลิป

ทิวลิปเป็นพืชใบเลี้ยงเดี่ยว รูปใบเล็กเรียวยาว ปลายใบแหลม เส้นแขนงใบจะเป็นแนวขนานไปตามความยาวของใบ และเรียวลู่ไปรวมกันที่บริเวณปลายใบ ใบแต่ละใบจะออกสลับทิศทางตรงข้ามกัน ต้นหนึ่งๆ จะออกใบประมาณ 3-4 ใบ โดยปรกติทิวลิปจะมีขนาดสูงระหว่าง 12-18 นิ้ว ซึ่งก็ต้องแล้วแต่พันธุ์และชนิดของทิวลิปแต่ละอย่าง ดอกของทิวลิปก็เช่นเดียวกัน มีหลายแบบ หลายสี และหลายขนาด แต่โดยปรกติดอกทิวลิปจะเป็นดอกไม้รูปถ้วย ยามบานไม่บานแฉ่ง แต่จะบานเพียงแค่แย้ม
กลีบออก ให้รู้ว่าเป็นดอกทิวลิปที่บานแล้ว แต่อย่างบายแฉ่งก็มีบ้าง เหมือนกัน เช่น พวกดอกทิวลิปซ้อนหลายๆ ชั้น ปรกติดอกทิวลิปจะมีกลีบดอกซ้อนกันเพียง 2 ชั้นๆ ละ 3 กลีบ กลีบดอกของทิวลิปมีสีสันต่างๆ มากมายหลายเฉดสี นับตั้งแต่สีแสด แดง ส้ม เหลืองเข้ม เหลือง เหลืองอ่อน ชมพู ขาว และสีสลับลายหลายอย่าง มีทั้งสีเดียวล้วนๆ และสีผสมในดอกเดียว หรือที่เรียกว่า ”Broken Tulips” เกสรผู้เป็นสีเหลืองอ่อน หรือขาวเป็นแท่งรูปหัวศรมี 6 เส้น เกสรเมียมีขนาดโตกว่าเกสรผู้ อยู่กึ่งกลางเกสรผู้ เป็นลักษณะแท่งรูปสามเหลี่ยมยาว 2 - 2.5 เซนติเมตร
( ซึ่งมีขนาดยาวไล่เลี่ยกับเกสรผู้ ) ปลายเกสรเมียแต่ละเหลี่ยม งอลงเป็นสามแฉก ส่วนที่ปลายเกสรผู้บางพันธุ์อาจจะเป็นติ่งสีน้ำตาลเข้ม หรือสีดำก็มี

ที่มา http//www.google.com

ประวัติดอกทานตะวัน

ประวัติดอกทานตะวัน
ประวัติโดยย่อของดอกทานตะวัน ถือกำเนิดโดยการนำเข้ามาจากประเทศญี่ปุ่น นำมาปลูกที่คลองตะเคียน พระนครศรีอยุธยาในสมัยแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ช่วงประมาณปี พ.ศ. ๒๑๙๙ ตั้งแต่สมัยอยุธยานานมากมาแล้วต่อมาต้นทานตะวันได้มีการปลูกแพร่หลายเป็นไม้ประดับที่นิยมในประเทศไทย
ทานตะวัน แปลว่า การทาน กั้น ขวางตะวัน หรือ ต่อต้านกั้นตะวัน หากเราสังเกตดูให้ดีจะเห็นว่าดอกทานตะวันจะหันดอกเข้าหาตะวัน (พระอาทิตย์) เสมอ จนบางคนถึงกับกล่าวว่า น่าที่จะเรียกว่า “ดอกตามตะวัน” จะเหมาะกว่า
แต่ในอีกความหมายก็ว่า “ทานตะวัน” คือเป็นเหมือนกับการทนทานกับแสงแดด หรือแสงอาทิตย์ เพราะมันหันหน้าเข้าหาอยู่ตลอดเวลา จึงน่าจะแปลได้ความหมายเป็นอย่างหลังมากกว่า อีกนัยหนึ่งคือ “ไม่ถึงตะวัน” ถึงจะมีความทนทานต่อแสงอันร้อนแรงของพระอาทิตย์ แต่ก็ไม่สามารถไปถึงตะวันได้ ในเรื่องของเทวปกรฌัม ยังได้กล่าวถึงเทพธิดาองค์หนึ่งชื่อไคลที (Clytie) อาศัยอยู่ถ้ำใต้ทะเลลึก มีแต่ทราย หอยและเปลือกหอย โดยอาศัยนอนอยู่ในเปลือกหอยก้นทะเลไม่เคยขึ้นมาบนฝั่ง มีแต่คลื่นสีเขียวอยู่ใต้น้ำทะเล เนื่องจากแสงอาทิตย์ส่องลงไปไม่ถึง นางฟ้าไคลทีเป็นเทพีแห่งน้ำเกิดในน้ำหรืออาจเรียกว่าพรายน้ำก็ว่าได้ อยู่อาศัยอย่างเป็นสุขสงบเรื่อยมาจนเติบโตขึ้นเป็นสาวน้อยอยู่มาจนกระทั่งวันหนึ่งเกิดมีพายุพัดกระหน่ำเข้ามาอย่างรุนแรง ซึ่งที่ผ่านมาไม่เคยพัดลงไปถึงข้างล่างใต้ทะเลเลย พัดอยู่เพียงพื้นผิวน้ำชั้นบนเท่านั้น แต่คราวนี้ได้เกิดพายุพัดกระหน่ำเป็นคลื่นม้วนตัวลงไปข้างใต้น้ำ แล้วพัดพาเอาสิ่งต่าง ๆ ที่อยู่ข้างใต้นั้นขึ้นมาอยู่ข้างบนแทน ซึ่งไคลทีก็เป็นหนึ่งในจำนวนนั้นที่ต้องขึ้นมาอยู่บนโลกมนุษย์ เมื่อถูกคลื่นทะเลซัดขึ้นมาถึงฝั่งฟื้นคืนสติก็มองเห็นแสงแดด มองเห็นพืชพันธุ์ต้นไม้ต่าง ๆ ที่สวยงาม และที่สวยที่สุดก็คือแสงแห่งตะวันที่สาดส่องลงมาตรงบริเวณเกาะหรือตรงพื้นแผ่นดินนั้น ส่องไปทุก ๆ ที่ที่ไคลทีมอง ไคลทีเพิ่งได้มีโอกาสเห็นแสงอาทิตย์เป็นครั้งแรก ก็เกิดความรักในพระอาทิตย์ขึ้นมา คือรักเทพอพอลโล (Apollo) เพราะเห็นความงามของอพอลโล(Apollo) นางจึงปฏิญาณว่าจะไม่ลงไปสู่ใต้ทะเลอีก จะขออยู่บนเกาะตลอดไปเพื่อติดตามดูตะวันทุก ๆ วัน จะขออยู่ดูความงามแห่งพระอาทิตย์ ดูความงดงามแห่งเทพอพอลโล (Apollo) ตั้งแต่รุ่งอรุณจนยามเย็น จะหันตามดูตลอดเวลา จนกระทั่งเทวดาสงสารนางเพราะเทพอพอลโล (Apollo)ไม่เคยเหลียวแลเลยจึงได้ช่วยกันบันดาลให้ในเย็นวันหนึ่งในขณะที่ไคลทียืนมองตะวันอยู่ที่บนฝั่งทะเลให้เท้านั้นหยั่งลึกลงไปในดินเครื่องแต่งกายให้เปลี่ยนแปลง กลายเป็นสีเขียวผมจากสีทองให้กลายเป็นสีเหลืองล้อมดวงหน้าไว้แล้วให้ดวงตาที่คอยมองตามพระอาทิตย์นั้นเป็นสีน้ำตาลจึงกลายเป็นดอกทานตะวันที่สวยงามที่เฝ้ามองตามพระอาทิตย์ที่ขึ้นและลงข้ามขอบฟ้าในทุกวันๆดอกทานตะวันจึงมีรูปลักษณ์อย่างที่เราเห็นเป็นดอกไม้แสนงามในปัจจุบันนี้เอง
Home

ประวัติดอกลีลาวดี

ดอกลีลาวดี
วันพฤหัสบดีที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2551

ประวัติดอกลีลาวดี

ชื่อวิทยาศาสตร์Plumeria spp
.ตระกูลApocynaceaeชื่อสามัญFrangipani,Pagoda,Temple
ถิ่นกำเนิดเม็กซิโกใต้ถึงตอนเหนือทวีปอเมริกาใต้ลักษณะทั่วไปลีลาวดี เป็นไม้ยืนต้น มีขนาดจากที่เป็นพุ่มเตี้ยแคระสูงประมาณ0.6 เมตร จนถึงต้นใหญ่มากอาจที่สูงได้ถึง 12 เมตร ลำต้นแผ่กิ่งก้านสาขาและพุ่มใบสวยงาม
มีน้ำยางขนสีขาวเป็นพันธุ์ไม้ที่สลัดใบในฤดูแล้งก่อนที่จะผลิดอกผลิใบรุ่นใหม่ชนิดและพันธุ์ที่มีลักษณะดี ต้องมีทรงพุ่มแน่น มีกิ่งก้านสาขามาก ใบดกที่ปลายกิ่ง มีช่อดอกใหญ่ กิ่งที่ยังไม่แก่มีสีเขียวออ่นนุ่ม กิ่งที่แก่มีสีเทามีรอยตะปุ่มตะป่ำ ใบ เป็นใบเดี่ยวมีการเรียงตัวสลับกันและหนาแน่นใกล้ๆปลายกิ่ง มีตั้งแต่สีเขียวอ่อนถึงเขียวเข้ม มีเส้นกลางใบแตกสาขาออกไปคล้ายขนนก ขนาดใบแตกต่างกันตั้งแต่ 5-20 นิ้ว ช่อดอก จะถูกผลิตออกมาจากปลายยอดเหนือใบแต่กก็มีบางชนิดที่ออกช่อดอกระหว่างใบหรือออกดอกใต้ใบ ช่อดอกบางชนิดตั้งขึ้น บางชนิดห้อยลง ใน 1 ช่อดอกจะมีดอกบานพร้อมกัน 20-30 ดอก
บางต้นสมบูรณ์เต็มที่อาจมีดอกมากกว่า 100 ดอก ต่อ 1 ช่อ ดอกโดยทั่วไป กลีบดอกมี 5 กลีบ เกสรตัวผู้ เกสรตัวเมีย อยู่ลึกเข้าไปข้างใน ดอกของ ลีลาวดีมีสีสรรหลากหลาย ทั้ง ขาว แดง เหลือง ชมพู ส้ม ม่วง สีทอง มีกลิ่นหอมต่างๆกันไปในแต่ละชนิด ดอกมีขนาด 2 - 6 นิ้ว มีกลิ่นหอม ผล เป็นฝักคู่ รูปยาวรี กว้างประมาณ 1.5 - 15 ซม. เมื่อแก่แตกเป็น 2ซีก เมล็ดมีจำนวนมาก เมล็ดแบนมีปีก ลีลาวดีมีช่วงชีวิตที่ยาวนานนับ 100 ปีฤดูกาลออกดอกออกดอกระหว่างเดือนกุมภาพันธุ์-เมษายน บางพันธุ์ออกดอกตลอดปี เช่น ขาวพวงสภาพการปลูกลีลาวดี เป็นไม้กลางแจ้ง ชอบแสงแดด ทนต่อความแห้งแล้ง ไม่ชอบน้ำมาก ดินที่เหมาะสมในการปลูกลีลาวดี ควรมีลักษณะเป็นดินร่วนปนทราย ส่วนดินเหนียวหรือดินที่มีเนื้อดินละเอียดหนักซึ่งน้ำขังง่าย จะทำให้รากเน่า โคนเน่าได้ ลีลาวดีจะเจริญเติบโตในที่ที่มีแสงแดดส่องถึงหากไม่ได้รับแสงแดดเต็มที ก็จะไม่ออกดอก แต่บางพันธุ์ก็ไม่ต้องการแสงแดดจัดในช่วงบ่ายการขยายพันธุ์ขยายพันธุ์โดยการเพาะเมล็ด,การปักชำกิ่งการขยายพันธุ์แบบนี้จะไม่มีรากแก้ว,การเสียบยอดพันธุ์ดีสามารถทำให้ในหนึ่งต้น เสียบยอดให้ได้ดอกหลายสีได้ ,และการขยายพันธุ์โดยการติดตาการปลูกและดูแลรักษาการปลูกในกระถางลีลาวดีจะตอบสนองต่อวัสดุปลูกที่มีความอุดมสมบูรณ์
ระบายน้ำได้ดี มีอินทรีวัตถุและได้รับปุ๋ยเสริมตามความเหมาะสม สัดส่วนที่ปลูกนกระถางโดยทั่วไป 50% มูลวัวที่ย่อยสลายดีแล้ว 25% ใบไม้ผุ 25% ดิน การให้น้ำ ใส่น้ำให้ดินในกระถางให้เปียกทั่วถึง จนน้ำส่วนเกินระบายออกทางรูระบายน้ำ แล้วปล่อยให้วัสดุปลูกแห้งก่อนให้น้ำครั้งต่อไปซึ่งอาจจะเป็นอาทิตย์ละ2ครั้ง หรือถ้าช่วงแล้งจัดๆ อาจเป็นวันเว้นวัน อย่างไรก็ตาม ควรตรวจสอบความชื้นวัสดุปลูกอย่างสม่ำเสมอ แต่วัสดุปลูกที่มีขนาดเล็กละเอียด เมื่อถึงระยะหนึ่งจะอัดตัวแน่นและรากจะไม่สามารถเจริญผ่านจุดนี้ไปได้น้ำก็จะขังไม่สามารถระบายน้ำได้ในที่สุดจะทำให้เกิดโรครากเน่าโคนเน่าได้การปลูกลงดินในแปลงปลูกดินควรเป็นดินร่วนปนทราย ส่วนดินเหนียวหรือดินที่มีเนื้อดินละเอียดหนักซึ่งน้ำขังง่ายไม่เหมาะที่จะใช้ในการปลูก ดินควรมีมาณอินทรียวัตถุที่เหมาะสม สามารถดูดยึดความชื้นได้ดี ในขณะเดียวกันต้องมีการระบายน้ำได้ดี การให้น้ำ ในการปลูกลงดินให้น้ำแต่นอ้ยให้ปริมาณสัปดาห์ละครั้ง ขึ้นอยูรกับสภาพความชื้นอากาศด้วย ถ้าอากาศร้อนแห้งแล้ง ก็ต้องให้น้ำบ่อยกว่าปกติเพื่อรักษาความเขียวของใบ แต่ให้น้ำมากเกินไปก็จะมีการเจริญเติบโตทางกิ่งก้านมากและทำให้ไม่ออกดอกการให้ปุ๋ยลีลาววดีจะเจริญเติบโตงอกงามได้ดีที่สุดในปุ๋ยทีมีไนโตรเจนต่ำ ฟอสฟอรัสสูง และโพแทสเซียม ในปริมาณที่เพียงพอ เนื่องจากธาตุฟอสฟอรัสจะกระตุ้นการออกดอก โดยทั่วไปลีลาวดีจะแตกกิ่งกานเมื่อมีดอก ดังนั้นต้องให้ปุ๋ยที่ส่งเสริมการออกดอกซึ้งเมื่อออกดอกมากก็หมายถึงจะมีกิ่งก้านสาขามากตามมา ส่วนธาตุไนโตรเจนจะช่วยส่งเสริมการเจริญเติบโตของลำต้น กิ่งก้าน ใบ แต่ถ้าได้รับมากเกินไป
จะทำให้มีใบมากเกินไป และไม่มีดอก นอกจากนั้นยังต้องได้รับธาตุอาหารรองได้แก่ แคลเซี่ยมและกำมะถัน โดยเฉพาะธาตุแมกนีเซียม เพื่อป้องกันโรคใบไหม้รวมทั้งธาตุอาหารจุลธาตุที่เพียงพอ ได้แก่ ธาตุเหล็ก อลูมิเนียมทองแดง แมงกานีส โมลิบดินัม โบรอน และคลอไรด์ โดยเฉพาะธาตุเหล็ก ซึ่งช่วยป้องกันอาการใบซีด
เขียนโดย ลีลาวดี ที่ 21:23

ที่มาhttp//www.google.com
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
บทความใหม่กว่า หน้าแรก
สมัครสมาชิก: ส่งความคิดเห็น (Atom)

ดอกกล้วยไม้แคทลยา

สกุลแคทลยา (cattleya)
เป็นกล้วยไม้ที่มีถิ่นกำเนิดในแถบอเมริกากลางและอเมริกาใต้ ชื่อกล้วยไม้สกุลแคทลียาได้มาจากชื่อสกุลของนักพฤกษศาสตร์ชื่อ william cattley แคทลียาเป็นกล้วยไม้ที่ชอบขึ้นอยู่ในที่ชุ่มชื้น ร่มเย็น มีแสงแดดบ้างเล็กน้อยหรือที่เรียกว่าแสงแดดรำไร แต่ไม่ทนต่อความแห้งแล้ง ร้อนและแสงแดดจัด แคทลียาเป็นกล้วยไม้ประเภทแตกกอ มีระบบรากเป็นแบบรากกึ่งอากาศ บางชนิดลำลูกกล้วยอ้วนป้อม หัวท้ายเรียว บางชนิดเป็นรูปทรงกระบอกหรืบิดเป็นเกลียวเล็กน้อย ใบส่วนมากจะมีลักษณะแบน แต่มีบางชนิดใบกลมรูปทรงกระกอก ใบที่เจริญเต็มที่จะมีลักษณะหนาและแข็ง ใบอาจมีหรือไม่มีกาบ เหง้าอาจจะมีทั้งสั้นและยาว รากของแคทลียาไม่มีรากแขนง ดอกเกิดที่ปลายลำลูกกล้วย ก่อนจะออกดอกมักจะปรากฎซองของดอกก่อน แต่แคทลียาบางชนิดไม่มีซองดอก

ดอกแคทลียามีทั้งที่เป็นดอกเดี่ยวและออกดอกเป็นช่อ ในช่อหนึ่ง ๆ อาจจะมีดอกเพียงดอกเดียวหรือสองดอก สามดอกหรือบางชนิดอาจจะมีถึงสิบดอกก็ได้ กลีบดอกชั้นนอกมี 3 กลีบ อยู่ข้างบน 1 กลีบ ข้างล่าง 2 กลีบ ขนาดเท่า ๆ กัน กลีบดอกชั้นนอก มี 3 กลีบ กลีบใน 2 กลีบ กลีบบนมีรูปร่างเหมือนกัน
แก้ไขล่าสุดเมื่อ


( Sunday, 24 August 2008 )
Free Joomla! hosting powered by FreeJoomlas.com

Joomla Template by Joomlashack

ประวัติดอกกล้วยไม้

ประวัติดอกกล้วยไม้
กล้วยไม้เป็นพืชใบเลี้ยงเดี่ยว ในวงศ์ Orchidaceae เป็นไม้ตัดดอกยอดนิยม เนื่องจากมีลักษณะดอกและสีสันลวดลายสวยงาม เป็นไม้ตัดดอกที่มีอายุการใช้งานได้นาน กล้วยไม้เป็นพืชเศรษฐกิจที่มีความสำคัญของไทย เพราะเป็นไม้ส่งออกขายต่างประเทศทำรายได้เข้าประเทศปีละหลายร้อยล้านบาท มีการปลูกเลี้ยงอย่างครบวงจร ตั้งแต่การผสมเกสร เพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ เลี้ยงลูกกล้ายไม้ เลี้ยงต้นกล้ายไม้จนกระทั่งให้ดอก ตัดดอกบรรจุหีบห่อและส่งออกเอง
แหล่งกำเนิดกล้วยไม้ป่าที่สำคัญของโลกมี 2 แหล่งใหญ่ๆ ด้วยกันคือ ลาตินอเมริกา กับเอเชียแปซิฟิค สำหรับในลาตินอเมริกาเป็นอาณาบริเวณ อเมริกากลางติดต่อกับเขตเหนือของอเมริกาใต้ ส่วนแหล่งกำเนิดกล้วยไม้ป่าในภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิค มีประเทศไทยเป็นศูนย์กลาง จากการค้นพบประเทศไทยมีพันธุ์กล้วยไม้ป่าเป็นจำนวนมาก แสดงให้เห็นว่าประเทศไทย มีสภาพแวดล้อมเอื้ออำนวยต่อการเจริญงอกงามของกล้วยไม้มาก และกล้วยไม้ป่าที่ในพบในภูมิภาคแถบนี้มีลักษณะเด่นที่เป็นเอกลักษณ์ของตนเอง แตกต่างจากกล้วยไม้ในภูมิภาคลาตินอเมริกา การปลูกเลี้ยงกล้วยไม้ในประเทศไทย จากการสำรวจในอดีตพบว่าประเทศไทยเป็นประเทศที่มีกล้วยไม้อยู่ในป่าธรรมขาติไม่ต่ำกว่า 1,000 ชนิด ทั้งประเภทที่พบอยู่บนต้นไม้ บนพื้นผิวของภูเขาและบนพื้นดิน
สรุปได้ว่าสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติของประเทศไทยเอื้ออำนวย แก่การเจริญงอกงามของกล้วยไม้เป็นอย่างมาก ในอดีตชาวชนบทของไทย โดยเฉพาะในแหล่งที่เคยมีกล้วยไม้ป่าอุดมสมบูรณ์ ได้นำกล้ายไม้ป่ามาปลูกเลี้ยงโดยเลียนแบบธรรมชาติ โดยนำกล้วยไม้มาปลูกไว้กับต้นไม้ที่ขึ้นอยู่ไกล้ๆ บ้านเรือน การเลี้ยงกล้วยไม้เริ่มเปลี่ยนมาเป็นการปลูกเลี้ยง

อย่างจริงจังโดยชาวตะวันตกผู้หนึ่ง ที่เข้ามาทำธุรกิจในประเทศไทย เห็นว่าสภาพแวดล้อมของประเทศไทยเหมาะสมสำหรับการปลูกเลี้ยงกล้วยไม้ จึงได้สร้างเรือนกล้วยไม้อย่างง่ายๆ และนำเอากล้วยไม้ป่าจากเขตร้อนของอเมริกา ซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดกล้วยไม้ป่าแหล่งใหญ่แหล่งหนึ่งของโลก ซึ่งมีลักษณะแตกต่างจากกล้วยไม้ในเอเชียและเอเซียแปซิฟิค โดยนำมาปลูกเลี้ยงเป็นงานอดิเรกในขณะเดียวกันก็มีเจ้านายชั้นสูงและบรรดา ข้าราชการที่ใกล้ชิด ให้ความสนใจเลี้ยงกล้วยไม้เป็นงานอดิเรกเช่นกัน นอกจากนั้นก็ยังมีกลุ่มบุคคลสูงอายุซึ่งเลี้ยงกล้วยไม้เพื่อความสุขทางใจ การปลูกเลี้ยงกล้วยไม้ อย่างไรก็ตามการปลูกเลี้ยงกล้วยไม้ยังคงจำกัดอยู่ในวงแคบ คือ ในกลุ่มผู้สูงอายุ และกลุ่มผู้มีเงินในยุคนั้น และเป็นการปลูกเลี้ยงที่นิยมกล้วยไม้พันธุ์ต่างประเทศ ส่วนกล้วยไม้ที่มีถิ่นกำเนิดในป่าของประเทศไทยจะนิยมและยกย่องเฉพาะพันธุ์ที่หายากและมีราคาแพง หลังการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองในปี 2475
สภาพการเลี้ยง ก็ยังคงจำกัดอยู่ในวงแคบเช่นเดิม แต่ผลงานเกี่ยวกับการผสมพันธุ์กล้วยไม้ในต่างประเทศเริ่มมีอิทธิพลกระตุ้นให้ผู้เกี่ยวข้องกับวงการกล้วยไม้ในประเทศไทยสนใจกล้วยไม้ลูกผสมมากขึ้น มีการสั่งกล้วยไม้ลูกผสมจากประเทศในทวีปยุโรป สิงคโปร์ และอินโดนีเซีย เพื่อนำเข้ามาปลูกเลี้ยงในประเทศไทย การพัฒนาการปลูกเลี้ยงกล้วยไม้ เป็นไปอย่างจริงจัง เมื่อประมาณปี 2493 โดยได้มีการวิจัย นับตั้งแต่การรวบรวมปลูกในระดับพื้นฐาน ต่อมาในปี 2497 ได้เริ่มเปิดการฝึกอบรมการเลี้ยงกล้วยไม้ ให้แก่ประชาชนผู้สนใจทั่วไป และมีการจัดตั้งชมรมกล้วยไม้ขึ้นในปี 2498 ซึ่งต่อมาได้รับการสถาปนาเป็นสมาคมกล้วยไม้เมื่อปี 2500 และในปีเดียวกันนี้ ได้เริ่มมีการนำเอาความรู้ในเรื่องกล้วยไม้และแนวความคิดในการพัฒนาวงการกล้วยไม้ออก เผยแพร่ทั้งทางโทรทัศน์และวิทยุ และมีการผลิตเอกสารสิ่งพิมพ์เผยแพร่
ทำให้วงการกล้วยไม้ของประเทศไทย ขยายตัวออกไปอย่างกว้างขวาง จนกระทั่งมีการจัดตั้งสมาคมและสโมสรเกี่ยวกับกล้วยไม้ขึ้นในภาคและจังหวัดต่างๆ ในปี 2501 ได้มีการเปิดการสอนวิชากล้วยไม้ขึ้นในมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์เป็นครั้งแรก เพื่อผลิตนักวิชาการและพัฒนางานวิจัยกล้วยไม้ของประเทศ และเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้การปลูกเลี้ยงกล้วยไม้ไม่ได้จำกัดอยู่ภายในวงแคบอีกต่อไป จากการส่งเสริมดังกล่าว ทำให้มีการนำเข้ากล้วยไม้ลูกผสมจากต่างประเทศ เช่น จากฮาวายและสิงคโปร์จำนวนมากยิ่งขึ้น ทำให้ผู้ที่มีความรู้หันมารวบรวมพันธุ์ผสมและเพาะพันธุ์จากพ่อแม่พันธุ์ในประเทศ ทั้งที่เป็นพ่อแม่พันธุ์จากป่า และลูกผสมที่สั่งเข้ามาแล้วในอดีต ปี 2506 วงการกล้วยไม้ของไทยได้เริ่มมีแผนในการขยายข่ายงานออกไปประสานกับวงการกล้วยไม้สากล เพื่อยกระดับวงการกล้วยไม้ในประเทศให้ทัดเทียมกับต่างประเทศ ปี 2509 เริ่มการทำสวนกล้วยไม้ตัดดอกอย่างจริงจัง เมื่อไทยเริ่มส่งออกกล้วยไม้ไปสู่ ตลาดต่างประเทศในยุโรปตะวันตก เช่น สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมัน เนเธอร์แลนด์ และอิตาลี ต่อมาจึงขยายตลาดไปสู่ประเทศญี่ปุ่น แคนาดา และบางรัฐของสหรัฐอเมริกา
ที่มา http//www.google.com

ประวัติดอกกุหลาบ

เป็นเรื่องเล่าตามบันทึกของศาสนาคริสต์ จารึกโดย "เซนต์แอมโบรส"ว่า กุหลาบถูกส่งลงมาจากสวรรค์ พร้อมกับหนามอันแหลมคม เพื่อเตือนให้มนุษย์ระลึกถึงความเจ็บปวด ที่เกิดจาก ความประพฤติผิดของตนเมื่อครั้งที่ อาดัมมนุษย์ผู้ชายคนแรกของโลก พลาดพลั้งทำตัวให้เปื้อนบาป แต่พระเจ้ายังได้มอบความงามและความหอมของกุหลาบ เพื่อให้มนุษย์พึงระลึกว่าชีวิตยังมีความหวัง และสามารถถ่ายถอนบาปได้เช่นกัน


เล่าถึง...สีแดงของดอกกุหลาบว่า เดิมทีกุหลาบมีสีขาวบริสุทธิ์เพียงสีเดียว แต่เมื่อ อีฟ หญิงสาวคนแรกของโลกไปจุมพิต ดอกกุหลาบเข้า จึงทำให้ดอกกุหลาบมีสีแดง บางกระแสเล่าว่า อีฟเป็นคนตั้งชื่อดอกไม้ที่เธอโปรดปรานชนิดนี้ว่า... "Rose" และกุหลาบเปลี่ยนเป็นสีแดง เมื่ออดัมกับอีฟถูกไล่ออกจากสวนอีเดน สื่อความหมายถึง การที่มนุษย์เอาบาปไปแปดเปื้อนสีขาว บริสุทธิ์ของดอกไม้ ให้เปลี่ยนเป็นสีแดงแห่งกิเลส และตัณหา


กล่าวว่า กุหลาบเกิดจากการชุมนุมของบรรดาทวยเทพ เพื่อประทานชีวิตใหม่ให้กับนางกินรีนางหนึ่งซึ่งเทพธิดาแห่งบุปผาชาติ หรือ"คลอริส" บังเอิญไปพบนางนอนสิ้นชีพอยู่ ในตำนานนี้กล่าวว่า อโฟรไดท์ เป็นเทพผู้ประทานความงามให้ และมีเทพอีก สามองค์ประทานความสดใส เสน่ห์ และความน่าอภิรมย์ และมี เซไฟรัส ซึ่งเป็นลมตะวันตกได้ช่วยพัดกลุ่มเมฆ เพื่อเปิดฟ้าให้กับ แสงของเทพ อพอลโล หรือแสงอาทิตย์ส่องลงมาเพื่อประทานพรอมตะ จากนั้น ไดโอนีเซียส เทพเจ้าแห่งเหล้าองุ่นก็ประทาน น้ำอมฤต และกลิ่นหอมเมื่อสร้างบุปผาชาติดอกใหม่นี้ขึ้นมาได้แล้ว เทพทั้งหลายก็เรียกดอกไม้ ซึ่งมีกลิ่นหอม และทรงเสน่ห์นี้ว่า... "Rosa" จากนั้น เทพธิดาคลอริส ก็รวบรวมหยดน้ำค้างมาประดับเป็นมงกุฎ เพื่อมอบให้ดอกไม้นี้เป็นราชินีแห่งบุปผาชาติทั้งมวล จากนั้นก็ประทานดอกกุหลาบให้กับเทพ อีโรส ซึ่งเป็นเทพแห่งความรัก "กุหลาบ"จึงกลายเป็นสัญลักษณ์ของความรัก แล้วเทพ อีโรส ก็ประทานกุหลาบนี้ให้แก่ ฮาร์โพเครติส ซึ่งเป็นเทพแห่งความเงียบ เพื่อที่จะเก็บซ่อนความอ่อนแอของทวยเทพทั้งหลาย ดอกกุหลาบจึงกลายเป็นสัญลักษณ์ ของความเงียบ และความเร้นลับอีกอย่างหนึ่ง

สถานที่จัดเลี้ยง
โต๊ะจีน - รับจัดเลี้ยง
พานขันหมาก พานพุ่ม
ดอกไม้ ลูกโป่ง เค้กแต่งงาน
สตูดิโอ ถ่ายภาพแต่งงาน
ถ่ายภาพวันงาน กล้อง วีดีโอ
ของชำร่วย
การ์ดูน Presentation
ชุดไทย ชุดวิวาห์
แต่งหน้าเจ้าสาว ทำผม
ดนตรี
Organizers
เครื่องประดับ
เวปแต่งงาน




มีตำนานเล่าถึงกำเนิดของดอกกุหลาบ ตามความเชื่อในเรื่องเทพเจ้าของกรีก ด้วยเช่นกันว่า เมื่อครั้งที่ เทวีแห่งความรักนามว่า... " อโฟรไดท์ " (venus) ถือกำเนิดขึ้นจากท้องทะเล กุหลาบก็ได้ถือกำเนิดขึ้นจากฟองคลื่นขาวสะอาดที่สาดซัดมาต้อนรับ การเกิดของอโฟรไดท์ กุหลาบทุกดอกยังคงมีสีขาวบริสุทธิ์ เหมือนตอนที่ถือกำเนิดขึ้นมา จนกระทั่งวันหนึ่ง อาโดนิสชู้รักคนหนึ่ง ของอโฟรไดท์ได้รับบาดเจ็บ จนถึงแก่ความตายในการล่าหมูป่า กุหลาบแดงจึงมีขึ้นมาในโลกสีแดงของกุหลาบเกิดจาก เลือดของชายหนุ่มที่หยดลงไปโดนกุหลาบที่อยู่ใกล้ บ้างก็เล่าว่า ระหว่างที่อโฟรไดท์เร่งรีบจะไปช่วยชายคนรักเกิดโดนหนามกุหลาบ เกี่ยวและเลือดที่รินไหลทำให้กุหลาบกลายเป็นสีแดง และนั่นคือที่มาของกุหลาบแดงที่ถูกใช้เป็นสัญลักษณ์แทนความรัก .


กล่าวถึงตำนานของดอกกุหลาบว่า คิวปิดลูกชายของวีนัส เป็นผู้ทำเหล้าองุ่นหกรดดอกกุหลาบหลายดอกกุหลาบเหล่านั้นจึงมีสีแดง ส่วนหนามที่แหลมคมของกุหลาบเกิดขึ้นจากความ โกรธเคืองในขณะที่คิวปิดกำลังชื่นชมความหอมของดอกกุหลาบ กลับ โดนผึ้งต่อย คิวปิดจึงควักธนูมายิงใส่พุ่มกุหลาบทำให้กุหลาบมีหนามที่แหลมคม .


มีตำนานเล่าขานถึงกำเนิดของกุหลาบแดงไว้เกี่ยวกับเจ้านกไนติงเกลตัวแรกของโลกมีความปรารถนาที่จะกล่อมราตรีกาลให้หวานชื่น ด้วยเสียงอันไพเราะของมันแต่ด้วยกลัวว่า จะเผลอหลับ เจ้านกไนติงเกลจึงปักอกของตัวเองลงที่หนามกุหลาบทำให้มันสามารถทำได้ ดังที่ตั้งใจไว เลือดของเจ้านกไนติงเกลที่หยาดหยดจึงทำให้ดอกกุหลาบมีสีแดง
ที่มา http//www.google .com

นิทานพื้นบ้าน

ตุลาคม 12th, 2009นิทานพื้นบ้าน – เศรษฐีเจ้าเล่ห์กับลูกสาวชาวนา
เศรษฐีคนหนึ่งชอบใจลูกสาวชาวนายากไร้ผู้หนึ่งเขาเชิญชาวนากับลูกสาวไปที่สวนในคฤหาสน์ของเขาเป็นสวนกรวดกว้างใหญ่ที่มีแต่กรวดสีดำกับสีขาวเศรษฐีบอกชาวนาว่า ..
ชาวนาไม่ตกลงเศรษฐีบอกว่า “ถ้าเช่นนั้นเรามาพนันกันดีไหมข้าจะหยิบกรวดสองก้อนขึ้นมาจากสวนกรวดใส่ในถุงผ้านี้ก้อนหนึ่งสีดำ ก้อนหนึ่งสีขาวให้ลูกสาวของท่านหยิบก้อนกรวดจากถุงนี้หากนางหยิบได้ก้อนสีขาว ข้าจะยกหนี้สินให้ท่านและนางไม่ต้องแต่งงานกับข้าแต่หากนางหยิบได้ก้อนสีดำ นางต้องแต่งงานกับข้าและแน่นอน ข้าจะยกหนี้ให้ท่านด้วย”

ชาวนาตกลงเศรษฐีหยิบกรวดสองก้อนใส่ในถุงผ้าหญิงสาวเหลือบไปเห็นว่ากรวดทั้งสองก้อนนั้นเป็นสีดำ
เธอจะทำอย่างไร?หากเธอไม่เปิดโปงความจริง ก็ต้องแต่งงานกับเศรษฐีขี้โกงหากเธอเปิดโปงความจริง เศรษฐีย่อมเสียหน้า และยกเลิกเกมนี้แต่บิดาของเธอก็ยังคงเป็นหนี้เศรษฐีต่อไปอีกนาน
ลูกสาวชาวนาเอื้อมมือลงไปในถุงผ้า หยิบกรวดขึ้นมาหนึ่งก้อนพลันเธอปล่อยกรวดในมือร่วงลงสู่พื้นกลืนหายไปในสีดำและขาวของสวนกรวด

เธอมองหน้าเศรษฐี เอ่ยว่า “ขออภัยที่ข้าพลั้งเผลอปล่อยหินร่วงหล่นแต่ไม่เป็นไร ในเมื่อท่านใส่กรวดสีขาวกับสีดำอย่างละหนึ่งก้อนลงไปในถุงนี้ดังนั้นเมื่อเราเปิดถุงออกดูสีกรวดก้อนที่เหลือ ก็ย่อมรู้ทันทีว่ากรวดที่ข้าหยิบไปเมื่อครู่เป็นสีอะไร”ที่ก้นถุงเป็นกรวดสีดำ
“…ดังนั้นกรวดก้อนที่ข้าทำตกย่อมเป็นสีขาว”ชาวนาพ้นสภาพลูกหนี้ และลูกสาวไม่ต้องแต่งงานกับเศรษฐีขี้โกงคนนั้น

…วินทร์ เลียววาริณ

นิทานพื้นบ้าน
ที่มา http//www.google.com

วันพฤหัสบดีที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

ประวัติวาเลนไทน์

Technology Music Dream Girls Movies ธรรมะ ติดต่อโฆษณา

ประวัติวาเลนไทน์
Your Vote Rating 8.6 from 110 usersจำนวนผู้เข้าชม 16523 ครั้งSee All Comments
Axen AirCard Hi-End Siemens Chipset ราคาใกล้เคียงแอร์การ์ดจีน
ประวัติวาเลนไทน์

วันวาเลนไทน์ มาจากชื่อของนักบุญวาเลนไทน์ (St.Valentine) ผู้ซึ่งมีชีวิตอยู่ใน สมัยกษัตริย์ Claudiusที่ 2 แห่งกรุงโรม ในสมัยนั้นกษัตริย์ Claudius ออกกฎห้าม ให้มีการแต่งงานในเมืองของพระองค์ เพราะกษัตริย์ทรงต้องการทำศึกสงครามทรง ต้องการให้ผู้ชายทุกคนไปเป็นทหาร พระองค์เชื่อว่าถ้าไม่มีการแต่งงานผู้ชายจะสน ใจกับการรบมากขึ้น

นักบุญวาเลนไทน์ขัดบทบัญญัติแห่งกฎหมายของกษัตริย์ ด้วยการเป็นบาทหลวง ในพิธีแต่งงานให้หนุ่มสาวที่ต้องการแต่งงานอย่างลับ ๆ และแล้ววันหนึ่งข่าวการทำ พิธีสมรสของนักบุญวาเลนไทน์ก็รู้ถึงหูของพระเจ้าClaudius พระองค์จึงทรงสั่งทหาร ไปจับเขาไปประหารชีวิต

ระหว่างอยู่ในคุกมีคู่แต่งงานที่ท่านเคยทำพิธีให้หลายคู่ลอบไปเยี่ยมเยียนท่าน อย่างสม่ำเสมอ และที่นั่นท่านยังได้รู้จักกับหญิงสาวคนหนึ่ง ซึ่งเป็นลูกสาวของผู้คุม เธอมักมาพูดคุยกับท่าน และบอกท่านเสมอ ๆ ว่า การกระทำของท่านถูกต้องแล้ว นักบุญวาเลนไทน์เสียชีวิตเมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ในปี 296 A.D. ในคุกแห่งนั้น เอง ก่อนตายท่านได้ฝากโน๊ตสั้น ๆ ถึงเพื่อนของท่าน และลงท้ายว่า "Love from your Valentine
ในปี 496 A.D.โป๊ปGelasiusได้ยกย่องให้วันที่ 14 กุมภาพันธ์เป็นวันวาเลนไทน์ เพื่อเป็นอนุสรณ์ให้รำลึกถึงคุณความดี ความกล้าหาญ และความเสียสละของนักบุญ วาเลนไทน์ เราจึงมักถือเอาวันนี้เป็นวันแห่งความรัก ในระยะต่อมาวันวาเลนไทน์ ใช้แทนความรักของหนุ่มสาวเป็นส่วนใหญ่ โดยในวันนี้จะมีการส่งขนม (โดยเฉพาะ ช็อคโกแลต) ดอกไม้(ส่วนใหญ่จะดอกกุหลาบ) ให้กับคนที่รัก


อีกตำนานของวันวาเลนไทน์......
ตำนานแรกบอกว่า วาเลนไทน์เป็นชื่อ ของนักบุญในสมัยคริสตวรรษที่ 3 ของกรุงโรม ซึ่งขณะนั้นองค์จักรพรรดิ์เคลาดิลุสที่ 2 เห็นว่า ในบรรดาเหล่า ทหารหาญของพระองค์ ชายโสดจะมีประสิทธิภาพในการรบที่.. เยี่ยมกว่า... ชายที่แต่งงานแล้ว

พระองค์จึงประกาศว่า การแต่งงานของวัยรุ่นนั้นเป็นความผิด นักบวชวาเลนไทน์ไม่เห็นด้วยและยัง คงประกอบพิธีแต่งงานตามศาสนาแบบลับๆ เมื่อองค์จักรพรรดิ์ทราบจึง......รับสั่ง...ให้นักบวชวาเลนไทน์ไปประหารชีวิต
อีกตำนานหนึ่งบอกว่าความจริงวาเลนไทน์ ได้ส่งการ์ดวาเลนไทน์ใบแรกของโลก ด้วยตัวเองขณะที่อยู่ในคุกนักบวชวาเลนไทน์ ได้ตกหลุมรักหญิงสาวซึ่งเป็นลูกของ พัสดีที่มาเยี่ยมเยียนเขาก่อนตาย
เขาจึงได้เขียนจดหมายถึงเธอและ เซ็นกำกับว่า FROM YOUR VALENTINE อีกตำนานหนึ่งระบุไว้ในหนังสือเดอะเวิลด์ บุ๊ก เอ็นไซโคเปียเดีย ว่าเรื่องของนักบุญวาเลนไทน์ไม่เกี่ยวข้องกับ วันวาเลนไทน์ที่ปฏิบัติกันอยู่ในขณะนี้

อีกตำนาน
วันวาเลนไทน์นั้นมีมาตั้งแต่สมัยจักรวรรดิโรมัน ในกรุงโรมสมัยก่อนนั้น วันที่ 14 กุมภาพันธ์ จะเป็นวันเฉลิมฉลองของจูโน่ซึ่งเป็นราชินีแห่งเหล่าเทพและเทพธิดาของโรมัน ชาวโรมันรู้จักเธอในนามของเทพธิดาแห่ง อิสตรีและการแต่งงาน และในวันถัดมาคือวันที่ 15 กุมภาพันธ์ ก็จะเป็นวันเริ่มต้นงานเลี้ยงของ Lupercalia การดำเนินชีวิตของเด็กหนุ่มและเด็กสาวในสมัยนั้นจะถูกแยกจากกันอย่างเด็ดขาด แต่อย่างไรก็ตาม ยังมีประเพณีอย่างนึง ซึ่งเด็กหนุ่มสาวยังสืบทอดต่อกันมา คือ คืนก่อนวันเฉลิมฉลอง Lupercalia นั้นชื่อของเด็กสาวทุกคนจะถูกเขียนลงในเศษกระดาษเล็ก ๆ และจะใส่เอาไว้ในเหยือก เด็กหนุ่มแต่ละคนจะดึงชื่อของเด็กสาวออกจากเหยือก แล้วหลังจากนั้นก็จะจับคู่กันในงานเฉลิมฉลอง บางครั้งการจับคู่นี้ ท้ายที่สุดก็จะจบลงด้วยการที่เด็กหนุ่มและเด็กสาวทั้งสองนั้นได้ตกหลุมรักกันและแต่งงานกันในที่สุด ภายใต้การปกครองของจักรพรรดิคลอดิอุสที่สอง (Claudius II) นั้น กรุงโรมได้เกิดสงครามหลาย ครั้ง และคลอดิอุสเองก็ประสบกับปัญหาในการที่จะหาทหารจำนวนมากมายมหาศาลมาเข้าร่วมในศึกสงคราม และเขาเชื่อว่าเหตุผลสำคัญก็คือ ผู้ชายโรมันหลายคนไม่ต้องการจากครอบครัวและคนอันเป็นที่รักไป และด้วยเหตุผลนี้เอง ทำให้จักรพรรดิคลอดิอุสประกาศให้ยกเลิกงานแต่งงานและงานหมั้นทั้งหมดในกรุงโรม ถึงกระนั้นก็ตาม ยังมีนักบุญผู้ใจดีคนหนึ่งซึ่งชื่อว่า ท่านนักบุญวาเลนไทน์ ท่านเป็นพระที่กรุงโรมในสมัยของจักรพรรดิคลอดิอุสที่สอง ท่านนักบุญวาเลนไทน์และนักบุญมาริอุส ได้จัดตั้งกลุ่มองค์กรเล็ก ๆ เพื่อช่วยเหลือชาวคริสเตียนที่ตกทุกข์ได้ยากเหล่านี้ และได้จัดให้มีการแต่งงานของคู่รักอย่างลับ ๆ ด้วย และจากการกระทำเหล่านี้เอง ทำให้นักบุญวาเลนไทน์ถูกจับและถูกตัดสินประหารโดยการตัดศรีษะ ในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ประมาณปีคริสต์ศักราชที่ 270 ซึ่งถือเป็นวันที่ท่านได้ทนทุกข์ทรมานและเสียสละเพื่อเพื่อนมนุษย์ ประวัติท่านนักบุญวาเลนไทน์ เซนต์วาเลนไทน์หรือนักบุญวาเลนไทน์นั้นเป็นพระที่อยู่ในกรุงโรมระหว่างศตวรรษที่ 3 ในเวลานั้นกรุงโรมถูกปกครองโดยจักรพรรดิที่ชื่อว่า "คลอดิอุส" ซึ่งมีนิสัยชอบข่มเหงผู้อื่น ทำให้ไม่เป็นที่รักของประชาชนเท่าใดนัก จักรพรรดิคลอดิอุสต้องการสร้างกองทัพอันยิ่งใหญ่และหวังให้ชายชาวโรมันทั้งหลายอาสาสมัครเข้ามาเป็นทหารในการสงคราม แต่ก็ไม่มีชายคนใดจะกระทำตามนั้น จักรพรรดิคลอดิอุสจึงออกกฏหมายห้ามให้มีการแต่งงานหรืองานหมั้นใด ๆ เกิดขึ้น ทำให้ประชาชนไม่พอใจรวมทั้งนักบุญวาเลนไทน์เองด้วย ในเวลาต่อมานักบุญวาเลนไทน์ได้จัดการแต่งงานให้กับคู่หญิงสาวหลายคู่ขึ้นอย่างลับ ๆ ถึงแม้ว่าจะมีการประกาศการใช้กฏหมายห้ามแต่งงานแล้วก็ตาม นักบุญวาเลนไทน์ยังคงรักที่จะทำพิธีเหล่านี้ โดยภายในงานนั้นจะมีเพียงเจ้าบ่าว เจ้าสาว และท่านนักบุญเท่านั้น พวกเขาจะกระซิบคำสาบานและคำอธิษฐานต่อกัน ในขณะเดียวกันก็ต้องคอยเงี่ยหูฟังเสียงการเดินตรวจตราของเหล่าทหารด้วย แต่แล้วคืนหนึ่ง ในขณะที่กำลังทำพิธีแต่งงานอย่างลับ ๆ อยู่นั้นเอง ท่านนักบุญวาเลนไทน์เกิดได้ยินเสียงผีเท้าของทหาร แต่โชคดีที่คู่บ่าวสาวนั้นหนีออกไปจากโบสถ์ได้ทัน ในที่สุดนักบุญวาเลนไทน์จึงถูกจับขังคุกและถูกทรมานอย่างแสนสาหัส ท่านพยายามให้กำลังใจตัวเองทุก ๆ วัน และแล้ววันหนึ่งสิ่งวิเศษก็เกิดขึ้น เด็กหนุ่มสาวหลายคนมาที่คุกเพื่อจะมาเยี่ยมท่านนักบุญ พวกเขาโยนดอกไม้และกระดาษซึ่งเขียนข้อความต่าง ๆ เข้าไปทางช่องหน้าต่างของคุก พวกเขาต้องการให้นักบุญวาเลนไทน์รู้ว่า พวกเขาเองก็มีความเชื่อและศรัทธาในความรักด้วยเช่นกัน หนึ่งในเด็กสาวเหล่านั้น เป็นลูกสาวของผู้คุม ซึ่งพ่อของเธอได้อนุญาตให้เธอเข้าไปเยี่ยมนักบุญ วาเลนไทน์ได้ในคุก บางครั้งพวกเขาจะนั่งคุยกันนานนับชั่วโมง หล่อนช่วยให้กำลังใจท่านนักบุญ และเห็นด้วยกับการที่ท่านปฏิเสธกฏหมายห้ามการแต่งงานนั้น อีกทั้งยังสนับสนุนการแต่งงานอย่างลับ ๆ ของท่านนักบุญอีกด้วย ในวันที่นักบุญวาเลนไทน์เสียชีวิตนั้น ท่านได้เขียนจดหมายไว้ฉบับนึงเพื่อเป็นการขอบคุณในมิตรภาพและความจงรักภักดีของหญิงสาวผู้นั้น แล้วท่านนักบุญก็ลงท้ายจดหมายฉบับนั้นว่า " Love from your Valentine. " ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา จึงมีประเพณีการแลกเปลี่ยนจดหมายรักซึ่งกันและกันในวันวาเลนไทน์ โดยจะเขียนขึ้นในวันที่นักบุญวาเลนไทน์เสียชีวิต คือวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ปีคริสตศักราช 270 และปฏิบัติสืบต่อกันมาจนถึงปัจจุบันนี้ เพื่อเป็นการรำลึกถึงท่านนักบุญวาเลนไทน์ แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดของวันนี้คือ การมอบความรักและมิตรภาพให้แก่กันและกัน และทุก ๆ ครั้งที่ผู้คนต่างนึกถึงจักรพรรดิคลอดิอุส เขาก็จะจำได้ถึงวิธีการที่คลอดิอุสพยายามจะมาแทนที่หนทางของความรัก แล้วก็จะพากันหัวเราะ เพราะว่าพวกเขาต่างรู้ดีว่าความรักนั้นไม่สามารถหาสิ่งใดมาทดแทนหรือแทนที่ได้เลย ธรรมเนียมที่ถือปฏิบัติกันในวันวาเลนไทน์ - หลายร้อยปีก่อนในประเทศอังกฤษ เด็ก ๆ จะแต่งตัวลอกเลียนแบบผู้ใหญ่ในวันวาเลนไทน์ แล้วร้องเพลงจากบ้านหลังหนึ่งไปยังบ้านอีกหลังหนึ่ง ในเนื้อเพลงท่อนหนึ่งจะกล่าวว่า " Good morning to you, Valentine ; Curl your locks as I do mine --- Two before and three behind. Good morning to you, Valentine." - ในประเทศเวลส์ ผู้ที่มีความรักและชื่นชมในงานช้อนไม้แกะสลัก จะทำการแกะสลักช้อนและมอบให้เป็นของขวัญในวันวาเลนไทน์ โดยจะสลักรูปหัวใจ และลูกกุญแจไว้บนช้อนนั้น ซึ่งมีความหมายว่า "คุณได้ไขหัวใจของฉัน" (You unlock my heart). - เด็กหนุ่มสาวจะทำการเขียนชื่อคนที่ตัวเองชอบแล้วหย่อนไว้ในอ่างหรือชาม แล้วหยิบขึ้นมาหนึ่งชื่อเพื่อดูว่าใครจะเป็นคู่ของตัวเองในวันวาเลนไทน์
หลังจากนั้นก็จะเอาชื่อที่หยิบได้นี้มาติดไว้ที่แขนเสื้อเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์ การทำเช่นนี้มีความหมายว่า คน ๆนั้นต้องการบอกคนทั่วไปรู้ได้ง่าย ๆ ว่าตัวเองรู้สึกอย่างไร - ในบางประเทศ ผู้หญิงจะได้รับของขวัญเป็นเครื่องแต่งกายจากผู้ชาย แล้วถ้าผู้หญิงคนนั้นเก็บของขวัญชิ้นนี้เอาไว้นั่นหมายถึงหล่อนจะแต่งงานกับเขา - บางคนมีความเชื่อว่า ถ้าผู้หญิงคนใดเห็นนกโรบินบินผ่านเหนือศรีษะตนเองในวันวาเลนไทน์ นั่นหมายถึงหล่อนจะได้แต่งงานกับกะลาสีเรือ หรือถ้าผู้หญิงคนใดเห็นนกกระจอก หล่อนก็จะได้แต่งงานกับชายยากจนและจะมีความสุข และถ้าผู้หญิงคนไหนเห็นนก Goldfinch หมายถึงหล่อนจะได้แต่งงานกับมหาเศรษฐี - ในบางประเทศจะมีการทำเก้าอี้แห่งรักขึ้นมา ซึ่งจะเป็นเก้าอี้ที่มีขนาดกว้าง ในครั้งแรกที่มีการทำเก้าอี้นี้ขึ้นมาก็เพื่อจะให้ผู้หญิงที่แต่งตัวในชุดราตรีนั่ง ต่อมาเก้าอี้แห่งรักนี้ได้ทำขึ้นเป็นสองส่วนและมักจะทำเป็นรูปตัวเอส (S)ซึ่งการทำเก้าอี้ทรงนี้จะทำให้คู่รักสามารถนั่งด้วยกันได้ แต่จะไม่ใกล้ชิดกันจนเกินไป - บางธรรมเนียมในบางแห่งของโลก เด็กหนุ่มสาวจะนึกถึงชื่อของคนที่ตัวเองอยากจะแต่งงานด้วยประมาณห้าถึงหกชื่อ ในขณะที่ปอกเปลือกผลแอปเปิ้ลนั้นให้เป็นขดนั้น ก็ให้เอ่ยชื่อของคนที่นึกถึงออกมาจนกว่าจะปอกเปลือกแอปเปิ้ลได้หมดผล และเชื่อกันว่า คนที่จะได้แต่งงานด้วยนั้นคือคนที่เอ่ยชื่อถึงในขณะที่ปอกเปลือกของแอปเปิ้ลได้หมดพอดี - และในบางประเทศมีความเชื่อว่า ถ้าหากผ่าผลแอปเปิ้ลออกมาเป็นสองซีก แล้วให้นับเมล็ดข้างในดู แล้วก็จะสามารถรู้จำนวนบุตรในอนาคตได้
หาก
ที่มา http//www.google.com

นิทานอีสป

นิทานอีสป เรื่อง "มดน้อยจอมขยัน"

ในฤดูร้อนที่ร้อนมากของวันหนึ่งจิ้งหรีดจอมขี้เกียจตัวหนึ่งเห็นฝูงมดขนข้าว, เศษผลไม้และลูกไม้ต่าง ๆเดินรำเรียงกันเอาเข้าไปเก็บสะสมไว้ในรังอย่าง ขะมักขะเม้น มันจึงเกิดความสงสัยขึ้นมาอย่างมากจึงถามพวกมดว่า " นี่เจ้ามด พวกเจ้าน่ะขนข้าว,ขนอาหารไปเก็บไว้ทำไม ?ในทุ่งก็มีมากมายกินกัน ไม่รู้จักหมดรู้จักสิ้นอยู่แล้ว พวกเจ้านี่ช่างแปลกจริง ๆ ร้อนออกจะตายไป บ้าบอไม่มี ที่เปรียบ ขยันกันจริงนะพวกเจ้า ฮ่า ๆๆ " มันคิดดูถูกพวกมดอย่างมาก...พวกมดจึง หันมาตอบกวน ๆกับมันว่า " ท่านว่าแปลกมากหรือ? " "แต่พวกข้าว่าไม่เห็นจะน่าแปลก ตรงไหนเลย ฤดูกาลนี้พืชพันธ์ธัญญาหารอุดมสมบูรณ์ พวกข้าเก็บได้ง่ายและที่ เหลือกินก็จะช่วยกันขนเอาไปเก็บสะสมไว้เป็นสะเบียงในฤดูหนาวที่แห้งแล้งไม่มีพืชพันธ์ ธัญญาหารให้เก็บกินกัน
ได้ง่าย ๆไงล่ะ "เจ้าจิ้งหรีดเมื่อได้ฟังดังนั้นจึงพูดขึ้นว่า " จะไปคิดอะไร กันมากมายถึงกาลไกลโน่นให้ปวดหัวด้วยล่ะเสียเวลาปล่าว ๆ เอาอย่างข้านิสินึกจะกินก็กิน นึกจะนอนก็นอนอาหารมีอยู่รอบตัวไม่เห็นเคยอดหยากสักครั้งเลย " ตอบแล้วมันก็บินหนีไปแทะ อ้อยข้างทางอาหารโปรดของมันเหมือนขี้เกียจต่อกรกับพวกมด พวกมดมองเจ้าจิ้งหรีดที่บิน จากไปแล้วคิดว่า " ยังไม่รู้ถึงความอดหยาก ถึงได้ดูถูกและล้อเลียนพวกเรา รอให้ฤดูหนาวมาถึงก่อน เถอะ...ฮึ...แล้วจะรู้สึก "








แม้แต่ในวันที่ฝนตกหนัก พวกมดก็ยังยอมเปียกฝนด้วยตัวที่สั่นเทาไม่ลดละและเลิกขนสะเบียงอาหาร เลยมันยังคงตั้งหน้าตั้งตาลำเรียงเข้าไปเก็บไว้ในรังอยู่อย่างเดิม...เจ้าจิ้งหรีดซึ่งนั่งหลบฝนอยู่ใต้ใบไม้ เมื่อมันเหลือบไปเห็นพวกมดเข้าเท่านั้นมันก็หัวเราะออกมาด้วยเสียงอันดังและส่ายหัวไปมาแล้วพูด ดูถูกล้อเลียนพวกมดว่า "ขยันกันจริง ๆนะพวกเจ้า ฮ่า ๆๆ..ฝนตกเฉอะแฉะน่ารำคาญจะตาย อย่างวันนี้ พวกเจ้าถ้าจะบ้าเอาอย่างมากเลยนะ...ข้าว่ามานอนหลบฝนกับข้าไม่ดีกว่าเหรอ รอให้ฝนหยุดเสียก่อนจะดีกว่านะ ฮ่า ๆๆๆ " แต่พวกมดก็ยังเดินขนของไปแล้วหันมาตอบกับจิ้งหรีด เหมือนไม่ยอมให้เสียขนอาหารไปเลยสักนิด " บอกแล้วไง ตอนนี้ยังพอมีพืชพันธ์ธัญญาหารให้เก็บอยู่ ต้องรีบเอาไปเก็บสะสมไว้อีกให้มาก ๆไง " จิ้งหรีดส่ายหัวไปมาด้วยความเบื่อในความคิดของ พวกมดมันเลยเกล้งนั่งหลับไม่ยอมหันกลับไปมองพวกมดอีกเลย...




และในวันที่ลมพัดแรงแสนแรง พวกมดก็ยังคงทำงานและหน้าที่ของมันอยู่ไม่มีเปลี่ยนแปลง พวกมันเดินเกาะกลุ่มกันเดินต้านลมขนข้าวขนสะเบียงอาหารอยู่เหมือนเดิม เจ้าจิ้งหรีดนั้น วันนี้หนีลม แรงเข้าไปหลบอยู่ในโพรงไม้และเมื่อมันมองออกไปและเห็นพวกมดเข้าให้อีก มันจึงตะโกนออกมา ด้วยเสียงอันดังแล้วก็ยังพูดดูถูกพวกมดเหมือนเดิมอีกนั่นแหละว่า " ข้าว่าพวกเจ้านี่บ้าจริง ๆของ แท้เลยหละ...ลมพัดแรงจะตายไป ยังจะขยันกันอยู่ได้อีก เดี๋ยวก็ปลิวไปตามลมหรอก ฮ่า ๆๆๆ " พวกมดนั้นฟังเจ้าจิ้งหรีดพูดดูถูกและล้อเรียนจนเคยเสียแล้วแต่พวกมันก็ไม่ได้คิดโกรธ แถมยัง หยุดเดินและพูดเตือนเจ้าจิ้งหรีดด้วยอีกว่า " นี่ท่านจิ้งหรีด นี่ก็ใกล้จะถึงฤดูที่แห้งแล้วแล้วนะ ท่านได้เตรียมและหาเก็บสะสมสะเบียงอาหารไว้บ้างแล้วหรือยัง?? "






เมื่อย่างเข้าฤดูแล้ง แหล่งอาหารของมดและแมลงต่าง ๆก็เริ่มเหลือน้อยลงเข้าทุกที พื้นดินนั้นก็เริ่ม แตกระแหง ต้นไม้ที่ยืนต้นนั้นใบก็เริ่มเหี่ยวเฉาลง เจ้าจิ้งหรีดที่ชอบเอาแต่ความสบายและไม่เคยคิด ถึงกาลข้างหน้าสักนิดเลยนั้น เพราะมันมัวแต่เอาแต่ร้องรำทำเพลงอย่างมีความสุขมาตลอดไม่ได้คิด เตรียมตัวไว้รับสภาพที่แห้งแล้งหาของกินยากที่เยือนมาถึงนี้เลย มันจำต้องนั่งเอาใบไม้คลุมตัว ไว้ด้วยความหนาวและพร้อมกับความหิวโหยด้วยมันไม่ได้กินอะไรมาหลายวันแล้ว เรี่ยวแรงที่เคยมีก็ หมดไป มันจึงไม่สามารถที่จะบินไปหาแหล่งอาหารที่อยู่ไกล ๆกับใครเขาได้...






แล้วในที่สุดฤดูหนาวก็มาเยือน หิมะเริ่มตกพรำลงมา เจ้าจิ้งหรีดหนาวสะท้านด้วยความหนาวและ หิวโหยเหลือเกิน....และเมื่อสิ้นไร้หนทางเข้า มันจึงเที่ยวคลานไปตามที่ต่าง ๆที่มีรังของพวกแมลง เพื่อหวังขอเศษอาหารจากพวกแมลงเหล่านั้นกินปะทังชีวิตของมัน มันคลานตะเวนไปเรื่อย ๆจน ร่างกายสกปรกมอมแมมไปหมดจนกระทั่งมันมาพบกับรังของพวกมดที่มันเคยพูดดูถูกและล้อเลียน เอาไว้อย่างมากมาย แต่เพราะความหิวและใกล้จะตาย มันพยายามรวบรวมพลังที่มีเหลืออยู่น้อยนิด นั้นเคาะประตูรังของพวกมดทันที "ก๊อก ๆๆ ได้โปรดเถิด นึกว่าสงสารแมลงด้วยกัน ช่วยแบ่งเศษอาหาร ให้ข้าปะทังความตายและความหิวสักนิดเถิดท่านมด "







พวกมดจึงเปิดประตูให้แล้วพูดว่า " พวกเราจะแบ่งอาหารให้กับเจ้าก็ได้ แต่เจ้าจะต้องสำนึกผิดที่ ได้เคยพูดดูถูกและล้อเลียนพวกข้าเอาไว้เมื่อก่อนเสียก่อน " เจ้าจิ้งหรีดจึงพูดว่า " เจ้าไม้ต้องบอกให้ข้า สำนึกหรอก มดเอ๋ย...ข้ารู้ซึ้งและเข้าใจที่เจ้าบอกแล้วว่าความอดหยากและแล้นแค้นนั้นมันเป็นอย่าง ไร? เพราะกว่าจะหาข้าวได้สักเม็ด ผลไม้สักผล...นี่ถ้าข้าเชื่อพวกเจ้าเสียตั้งแต่แรก ป่านนี้คงตุนอาหารไว้ เต็มบ้าน ไม่ต้องมานั่งคลานอย่างกระเสือกกระสนและเที่ยวขอเขากินอย่างหรือยิ่งกว่าขอทานแบบนี้ ว่าแต่เจ้ามีข้าวสักเม็ดหรือปล่าวบริจากให้ข้าสักหน่อยเถอะ " มดส่ายหัวอย่างอิดหนาระอาใจ แต่ก็กวักมือเรียกให้เข้ามาในรัง แล้วแบ่งข้าวให้จิ้งหรีดกินหลายเม็ด....
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า รู้จักเก็บออม รู้จักวางแผน ให้ความสำคัญและรอบคอบ ก็จะมีกินมีใช้ ไม่ขาดมือและลำบาก

ที่มา http//www.google.com

ประวัติโดเรมอน

Oct/29
ประวัติโดเรมอน และความเป็นมา
Doraemon : โดเรม่อน โดเรม่อน หรือโดราเอม่อน เป็นแมวหุ่นยนต์ในโลกอนาคต ยุคศตวรรษที่ 22 เกิดวันที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2655 มีน้ำหนัก 129.5 กก. ความสูง 129.3 ซม. กระโดดได้สูง 129.3 ซม. และยังวิ่งได้เร็วถึง 129.3 กม. / ชม. ลักษณะตัวอ้วนกลมสีน้ำเงิน ไม่มีใบหู เนื่องจากถูกหนูกิน ไม่มีนิ้วมือ มีกระดิ่งห้อยคอสีเหลือง มีหนวดหกเส้น มีกระเป๋าหน้าสำหรับเก็บของวิเศษ สารพัดอย่างที่สุดยอด อาหารที่ชอบที่สุดคือ แป้งทอด (โดรายากิ) สิ่งที่กลัวที่สุดคือ หนู

Nobita
: โนบิตะ โนบิตะ เป็นตัวละครหลักของเรื่อง เป็นเด็กผู้ชายขี้แยคนนึง เป็นคนไม่เอาถ่าน อ่อนแอ ไม่เคยพึ่งพาตนเอง เรียนหนังสือไม่เก่ง สอบได้ 0 บ่อยๆ มาโรงเรียนสายประจำ ถูกทำโทษบ่อยครั้ง ถือว่าเป็นตัวละครที่แย่มากๆ โนบิตะหลงรักชิซูกะ ซึ่งอยู่ในวัยเดียวกัน มีความหวังที่จะได้แต่งงานด้วยเมื่อเขาโตขึ้น แต่ก็มักจะมีอุปสรรค และมีคู่แข่งหลายคนเนื่องจากชิซูกะ เป็นเด็กน่ารัก และด้วยความอ่อนแอของโนบิตะเอง แต่โนบิตะ ได้เพื่อนรักคือโดเรม่อนคอยช่วยเหลือ ทำให้เขามีความมั่นใจมากขึ้น
'Shizuka : ชิซูกะ ชิซูกะ เป็นนางเอกของเรื่อง จัดว่าเป็นตัวละครที่น่ารักมาก เป็นที่หมายปองของเด็กทั่วไป รวมทั้งโนบิตะด้วย ซึ่งเขาหวังจะแต่งงานด้วยในอนาคต ชิซูกะเป็นคนที่ตรงข้ามกับโนบิตะโดยสิ้นเชิง เธอเป็นคนเรียนเก่ง สอบได้คะแนนดีมาก ชอบดนตรี และสิ่งที่ชอบมากที่สุดการได้อาบน้ำ ในอนาคตชิซูกะได้แต่งงานกับโนบิตะจริงๆ แต่โนบิตะในอนาคต เป็นโนบิตะที่เป็นผู้ใหญ่มีความรับผิดชอบ และเป็นคนดีจริงๆ สำหรับชิซูกะ

'Zuneo
: ซูเนโอะ ซูเนโอะ เป็นตัวละครที่ถูกออกแบบให้มีลักษณะเจ้าเล่ห์ คล้ายๆ สุนัขจิ้งจอก ปากแหลม ชอบยุให้ไจแอนท์ รังแกโนบิตะ ซูเนโอะเป็นคนที่ชอบคุยโวโอ้อวด เนื่องจากเป็นคนมีฐานะร่ำรวย สิ่งที่เพื่อนๆ อยากได้ เขามีครบทุกอย่าง มักมีของแพงๆ มาอวดเพื่อนๆ มีญาติพี่น้องที่ค่อนข้างฐานะดี มีชื่อเสียง มักจะหาเรื่องแกล้งโนบิตะบ่อยๆ เนื่องจากเขาเองก็หลงรักชิซูกะด้วยเหมือนกัน
Dekizugi : เดคิซูกิ ไจแอนเดคิซูกิ เป็นตัวละครที่สร้างขึ้นมาเพื่อให้ตรงกันข้ามกับโนบิตะโดยสิ้นเชิง รูปหล่อ เรียนเก่ง ขยัน อุปนิสัยดี เป็นที่หมายปองของเด็กหญิงทั่วไป เดคิซูกิ ชอบมาติวหนังสือให้กับชิซูกะเสมอ ทำให้โนบิตะต้องอิจฉา นอกจากนี้เขายังเป็นนักกีฬาและเป็นที่รักของคนทั่วไปอีกด้วย แต่บทบาทของเขาจะน้อยกว่าโนบิตะมาก

Dorami
: โดเรมี โดเรมี หุ่นยนต์น้องสาวของโดเรม่อน โดเรมีถูกสร้างขึ้นมาทีหลังโดเรม่อน ถือว่าเป็นรุ่นใหม่กว่า ทำให้มีประสิทธิภาพมากกว่าโดเรม่อน โดเรมี จะมีตัวสีเหลือ หูสีแดง มีกระเป๋าเก็บของวิเศษเหมือนโดเรม่อน แต่มีประสิทธิภาพมากกว่า โดเรมีจะอยู่ในโลกอนาคตมากกว่า ไม่ค่อยปรากฏในโลกปัจจุบัน ยกเว้นในกรณีเหตุการณ์คับขัน ที่โดเรม่อนไม่สามารถแก้ไขได้ โดเรมีก็จะมาคอยช่วยเหลือเสมอๆ

ประวัติอย่างละเอียด
Doraemon : โดเรม่อน วันที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2512 เป็นวันที่เริ่มต้นพิมพ์หนังสือการ์ตูนเรื่อง "Doraemon" ในประเทศญี่ปุ่น โดยจินตนาการของนักเขียนชาวญี่ปุ่นสองคน ที่ใช้นามปากการ่วมกัน ว่า ฟูจิโกะ ฟุจิโอะ โดยตัวการ์ตูนจะเป็นเรื่องราวของหุ่นยนต์ในโลกอนาคต ศตวรรษที่ 22 ซึ่งจินตนาการให้เป็นแมวตัวกลมๆ มีความสามารถพิเศษ และกระเป๋าวิเศษที่บรรจุของมากมาย จุดประสงค์เพื่อช่วยเหลือเด็กผู้ชาย ที่ขี้แย ไม่เอาไหน คนนึง และสอดแทรกคติธรรมเข้าไป ทำให้การ์ตูนเรื่องนี้ได้รับความนิยมอย่างมากชื่อโดราเอมอน มาจากคำว่า...โดราเนโกะ แปลว่า แมวหลงทาง เอมอน เป็นคำเรียกต่อท้ายชื่อของเด็กชายในสมัยก่อน โดราเอมอน เกิดขึ้นโดยความบังเอิญในขณะที่ 2 นักเขียนการ์ตูนชื่อฮิโรชิ ฟูจิโมโต และโมโตโอะ อาบิโกะขณะที่กำลังจินตนาการ สร้างการ์ตูนตัวใหม่ด้วยความลำบาก และกดดัน เนื่องจากเหลือเวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมงจะถึงกำหนดส่งต้นฉบับ บังเอิญเหลือบเห็นตุ๊กตาของลูกสาว ทำให้นึกต่อไปถึงตุ๊กตา แมว ล้มลุก และกลายเป็นโดราเอมอนในที่สุดการ์ตูนเรื่องโดเรม่อน มีจุดเด่นในเรื่องของจินตนาการ สิ่งประดิษฐ์ต่างๆ ในโลกอนาคต ที่ผู้อ่านทั่วไปคาดไม่ถึง จากปลายปากกาของ อ. ทั้งสอง ที่ถ่ายทอดออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม พร้อมทั้งสอดแทรกศิลปะวัฒนธรรมของญี่ปุ่นเข้าไปในตัวการ์ตูน แบ่งลักษณะนิสัยของคนออกมาในแต่คาแร็คเตอร์ได้อย่างลงตัว เหมือนกับนำเอาชีวิตจริงของผู้อ่านเข้าไปเกี่ยวข้องกับการ์ตูนด้วย ดังนั้นการ์ตูนเรื่องนี้จึงเป็นที่นิยม อ่านได้ทุกเพศทุกวัย จนทำให้มีการพิมพ์การ์ตูนเรื่องนี้มากมาย สามารถขายได้ถึง 100 ล้านเล่มใน ญี่ปุ่น และแปลเป็นภาษาต่างๆ ทั่วโลก ถึง 9 ภาษา รวมทั้งภาษาไทยอีกด้วย นอกจากการ์ตูนแล้ว โดเรม่อน ถูกสร้างออกมาเป็นภาพยนต์ทางจอเงิน และจอแก้วมากมายหลายตอน โดยฉายครั้งแรกที่ฮ่องกง เมื่อปี พ.ศ. 2524 และฉายที่ประเทศไทยเราครั้งแรก วันที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2525

ของวิเศษที่โดเรม่อนใช้บ่อยๆคอปเตอร์ไม้ไผ่ คัปเตอร์ไม้ไผ่ ทำจากไม้ไผ่ ชื่อภาษาญี่ปุ่นเรียกว่า "Take (ไม้ไผ่) Koputa (คัปเตอร์) " เมื่อจะใช้ก็นำไปวางไว้บนหัวจะทำให้สามารถบินได้ เป็นเครื่องมือที่โนบิตะและโดราเอม่อนใช้เกือบทุกตอนเพราะใช้งานง่ายและไม่ค่อยมีอันตราย สามารถบินได้ในระยะทาง 600 กม. และความเร็วประมาณ 80 กม.ต่อชม. เช่นสามารถใช้บินจากโตเกียวถึงโอซาก้าในเวลาประมาณครึ่งชม. ประตูสารพัดสถานที่ หากเปิดประตูนี้ออกแล้วพูดชื่อว่าจะไปที่ไหนประตูก็จะเปิดออกไปยังสถานที่นั่นทันที ประตูเป็นประตูไม้ในแบบโบราณ เป็นเครื่องมือที่สะดวกสบายที่สุด ของวิเศษชิ้นนี้ถูกใช้บ่อยๆ ทำให้เราได้เห็นสถานที่ต่างๆ ในการ์ตูนได้มากมายหลายที่ ตามจินตนาการ

ไฟฉายย่อส่วน รูปร่าง และวิธีใช้คล้าย ๆ กับไฟฉายทั่ว ๆ ไป ใช้สำหรับย่อสิ่งของหรือขยายสิ่งของให้ใหญ่หรือเล็กก็ได้ มีประโยชน์มาก และโดเรม่อนก็นำมาใช้บ่อยๆ อีกด้วย ไทม์แมชชีน เครื่องทาม์แม็คชีนเป็นพาหนะที่สามารถใช้เดินทางย้อนเวลาไปอดีต หรือ เดินทางข้ามเวลาไปสู่อนาคตได้ โดยทางเข้าและทางออกจะอยู่ในลิ้นชักโต๊ะในห้องนอนของโนบิตะ โดราเอม่อนและเพื่อนๆ สามารถใช้เดินทางไปอนาคตได้ แต่ว่าเครื่องนี้ก็ไปส่งผิดที่ผิดเวลาบ่อย ๆ

ตอนจบ โดเรมอนว่ากันว่ามีสองแบบวันหนึ่ง ซึ่งเป็นวันธรรมดาทั่ว ๆ ไป โนบิตะกลับมาจาก โรงเรียน ขึ้นไปยังห้องนอน และพบโดเรมอนกำลังนอน หลับอยู่เหมือนปกติ นี่ ! โดเรมอน ตื่นมาเล่นกันเถอะ แต่โดเรมอนก็ยังหลับอยู่ โนบิตะคิดว่าโดเรมอนคงเหนื่อยมาก จึงปลุกไม่ตื่น ดังนั้นโนบิตะจึงออกไปเล่นกับ ชิซูกะ และ เพื่อนคนอื่น หลังจากนั้นไม่กี่ชั่วโมงโนบิตะกลับมายังบ้าน แต่โดเรมอนก็ยังหลับอยู่ โนบิตะรู้สึกแปลกใจ และพยายามปลุกโดเรมอนแต่ก็ไม่ปฎิกริยาใด ๆ ทั้งสิ้นจากโดเรมอน โนบิตะเริ่มรู้สึกกลัวและเหนื่อยที่จะปลุกโดเรมอน โนบิตะพยายามทำทุกอย่างแต่โดเรมอนก็ไม่ยอมตื่น โนบิตะรู้แล้วว่า มีบางอย่างเปลี่ยนแปลงไปและมันไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน โนบิตะเริ่มร้องไห้โฮแต่โดเรมอนก็ไม่ขยับเลยแม้แต่นิดเดียว และแล้วโนบิตะก็คิดอะไรขึ้นมาได้ 1 อย่าง และกระโดดเข้าไปในโต๊ะที่มีไทม์แมชชีน และ โนบิตะก็ได้ไปในอนาคตเพื่อที่จะพบโดเรมีน้องสาวของโดเรมอน โนบิตะขอร้องให้โดเรมีช่วยและฝืนใจโดเรมีให้กลับมาในปี 1998 หลังจากที่มาถึง โดเรมีก็ได้เข้าไปตรวจสอบในตัวโดเรมอนว่าเกิดอะไรขึ้นหลังจากนั้นไม่กี่นาที โดเรมีก็บอกโนบิตะว่า แบตเตอร์รี่หมดโนบิตะถูกทำให้เชื่อว่าเป็นเช่นนั้นและถามโดเรมีเพื่อความแน่ใจอีกครั้งว่า แบตเตอรี่หมดหรือ ? อย่างงั้นโดเรมอนก็ไม่เป็นไรสิ ใช่ไหม? ถ้างั้น ช่วยเปลี่ยยแบตเตอร์รี่ใหม่ให้หน่อยทำให้โดเรมอนกลับมามีชีวิตเหมือนเดิม โดเรมีมองมาที่โนบิตะ และสั่นหน้า แล้วพูดว่าฉันควรจะเปลี่ยนแบตเตอร์รี่ใหม่หรือ โนบิตะจึงถามกลับว่า ทำไมโดเรมีจึงพูดอย่างนั้น โดเรมีจึงตอบ ว่า แบตเตอร์รี่หลักของโดเรมอนอยู่ตรงนี้ ใกล้กับกระเป๋าและก็ถูกใช้หมดแล้ว แต่จริง ๆ แล้วก็ยังมีแบตเตอร์รี่สำรองอยู่ที่หูแต่อย่างทีรู้ ๆ กันอยู่ว่า หูทั้งสองข้างของโดเรมอนถูกหนูกินไปเมื่อหลายปีก่อนดังนั้นตอนนี้จึงไม่มีแบตเตอรรี่สำรอง โนบิตะ จึงถามโดเรมี เธอหมายความว่าไงน่ะ ฉันหมายความว่า ถ้าฉันเปลี่ยนแบตเตอร์รี่ใหม่โดเรมอนจะสูญเสียความจงจำทั้งหมดเกี่ยวกับโนบิตะตลอดกาล แล้วฉันควรจะเปลี่ยนหรือ อะไรนะ โนบิตะปิดตาแล้วก็ร้องไห้ แต่หลังจากนั้นไม่กี่นาที โนบิตะก็หยุดร้อง และพูดเบา ๆ กับโดเรมีว่า ขอบคุณมาก ผมจะจัดการส่วนที่เหลือเอง เธอควรจะกลับไปยังอนาคตได้แล้วโดเรมีไม่รู้จะทำอย่างไร แต่ก็เข้าไปกอดโนบิตะ แล้วโดเรมีก็ลาโนบิตะกลับบ้าน หลังจากที่โดเรมีกลับไปแล้ว โนบิตะก็อุ้มโดเรมอนไปไว้บนชั้น---- หลายปีผ่านไป------------ในปี 2010 โนบิตะโตเป็นผู้ใหญ่ ตั้งแต่วันนั้น โนบิตะก็เปลี่ยนแปลงและเรียนหนังสืออย่างหนัก และก็ไม่เคยร้องไห้อีก และเขาอยู่โดยไม่มีโดเรมอนโนบิตะบอกชิซูกะ และ เพื่อนๆ ทั้งหลายว่า โดเรมอนต้องกลับไปยังอนาคตและไม่สามารถมา พบเพื่อน ๆ ทั้งหลายได้อีกแล้วชิซูกะประทับใจในตัวโนบิตะที่มีความเปลี่ยนแปลง และต่างจากเมื่อ 10 ปีก่อนอย่างสิ้นเชิงและทั้งสองก็รักกัน แล้วแต่งงานกัน โนบิตะเป็นนักวิทยาศาสตร์และทำห้องของเขาเป็นห้องทดลอง และเขาก็ได้ตั้งใจทำงานอย่างหนักในงานของเขาและห้ามไม่ให้ชิซูกะ เข้ามายังห้องทดลอง และแล้ววันหนึ่งโนบิตะก็เรียกให้ชิซูกะเข้ามายังห้องทดลอง และมันเป็นครั้งแรกที่ชิซูกะเข้ามายังห้องของสามีของเธอในขณะที่เธอเข้ามายังห้อง เธอถึงกับอึ้งจนพูดอะไรไม่ออกเธอเห็นโดเรมอนเพื่อนเก่าของเธอที่เคยเล่นด้วยกัน ในตอนที่ยังเป็นเด็กโดเรมอนไม่ขยับ และ เหมือนกับกำลังหลับ ดูนี่! ชิซูกะผมจะเสียบปลั๊กแล้วนะโนบิตะเปิดสวิตช์หลัก บนตัวของโดเรมอน โดเรมอนค่อย ๆ ลืมตาขึ้นเป็นเป็นช่วงที่ ทำให้เข้าใจได้ว่าใครเป็นผู้ที่คิดค้นโดเรมอนขึ้นมาซึ่งก็คือโนบิตะนั่นเอง เขาเรียนอย่างหนัก เพื่อที่ว่าจะได้พบ และพูดคุย กับโดเรมอนเพื่อนรักของเขา ที่มารู้จักกัน แล้วก็จากไปโนบิตะเป็นผู้หนื่งที่ได้สร้างโดเรมอนขึ้นมาเขาคิดค้นโปรแกรม และโครงสร้างทั้งหลาย สำหรับหุ่นยนต์โดเรมอน โนบิตะและชิซูกะร้องไห้อย่างเงียบ ๆ โดเรมอนก็ลืมตาขี้น และก็พูดว่า โนบิตะนายทำการบ้านเสร็จแล้วหรือ มันเหมือนกับมี ก้อนเมฆสีขาวก้อนเดิม อยู่บนท้องฟ้าช่างเหมือนกับเวลาแห่งความทรงจำในอดีต ที่พวกเขามีร่วมกัน
ตอนจบของโดเรม่อน แบบที่ 2 ตอนจบของเรื่องที่อาจารย์ ฟูจิโกะ และฟูจิโอะร่างไว้เป็น ตอนจบจริงๆของ โดเรมอนไม่ใช่ โดเรมอน กลับอนาคตหรอก... จริงๆแล้วของ original ที่ อ.ฟุจิโกะ เขียนเป็น story board ไว้ก่อนที่จะอ.จากไป วันหนึ่ง ฉากในโรงพยาบาล โนบิตะตื่นขึ้นมา และเจอพ่อกับแม่และเพื่อนๆ ครบทุกคนยืนอยู่รอบเตียง แล้วโนบิตะก็ถามถึงโดเรมอน ทุกคนกลับปฎิเสธว่า ไม่รู้จักและบอกโนบิตะว่า โนบิตะหลับมานานเป็นปีแล้วเนื่องจากไม่สบาย และโนบิตะก็นึกย้อนถึงเรื่องราวเกี่ยวกับโดเรมอน ทั้งการผจญภัยต่างๆ ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นเพียงความฝันเท่านั้นโดเรมอน เซวาสึ โดเรมี ล้วนเป็น ความฝันของเขาทั้งสิ้น โนบิตะเป็นเด็กที่ไม่แข็งแรง และไม่มีเพื่อนรักที่ จะอยู่ด้วย เขาต้องนอนโรงพยาบาลตลอดเวลาและเขาก็หลับไป ฉากต่อมา เริ่มที่ พ่อแม่และเพื่อนๆของโนบิตะร้องไห้กันอยู่ในงานศพของ โนบิตะ..เขาจากไปก่อนวัยอันควร..และเรื่องราวทุกอย่างก็จบลง ที่โนบิตะฝันถึงโดเรมอนและอนาคตนั้นเป็นเพราะเขารู้ดีว่า เขาจะต้อง ตายในอีกไม่นาน เขาจึงอยากที่จะมีอนาคตมีเพื่อนรัก มีการผจญภัยสนุกสนาน แต่ฝันของเขาก็ไม่มีวันเป็นจริง... ตลอดไป...... ตอนนี้เป็นเพียงตอนที่ยังไม่ตกลงว่าจะออกพิมพ์หรือทำเป็นภาพยนตร์การ์ตูน แต่อย่างใด เพราะคงไม่มีใครอยากให้จบแบบนี้
ประวัติผู้แต่งประวัติย่อของ อ. ฟูจิโกะ ฟุจิโอะ ฟูจิโกะ ฟูจิโอะ เป็นนามปากการ่วม ของ อ. ทั้งสองท่านที่เขียนการ์ตูนเรื่องนี้ คืออ. ฟูจิโมโตะ ฮิโรชิ เกิด 1 ธันวาคม 2476 ณ เมือง ทาคาโอกะ โทยามะ อ. อาบิโกะ โมโตโอะ เกิด 10 มีนาคม 2477 ณ เมือง ไฮโอมิ โทยามะ อาจารย์ทั้งสอง รู้จักกันมาตั้งแต่เรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ซึ่งทั้งสองมีความสนใจในงานเขียนการ์ตูนมาก และได้เขียนการ์ตูนในงานส่งอาจารย์ร่วมกัน จึงกระทั่งถึงชั้นมัธยมศึกษาในปีพ.ศ.2495 ท่านทั้งสองได้เปิดตัวหนังสือการ์ตูนเล่มแรกชื่อ "เทนชิโนะ ทามาซัง" สู่สาธารณะชน และเริ่มใช้นามปากกา "ฟูจิโกะ ฟูจิโอะ" ในปีพ.ศ.2497 ได้ย้ายไปอยู่ที่กรุงโตเกียว หลังจากนั้น 2 ปี ท่านทั้งสองก็ได้ร่วมกับนักเขียนการ์ตูนท่านอื่น (ฟูจิโอะ อาคัสซูกะ และ ไซโอทาโร่ อีชิโมริ)เปิดบริษัทชื่อ 'ชินแมงกาโตะ' หลังจากนั้นพวกเขาก็เริ่ม ทำการ์ตูนเคลื่อนไหว และ ได้จัดทำ 'สตูดิโอ-ซีโร่' ในปีพ.ศ.2506 และในปีต่อมา การ์ตูนเรื่อง "โอเบเกะโนะ คิวทาโร่ (ผีน้อยคิวทาโร่)"ที่ใช้นามปากกา "ฟูจิโกะ ฟูจิโอะ" ก็มีชื่อเสียง และ เป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลาย ท่านอาจารย์ได้เขียนการ์ตูนอย่างจริงจัง จนในที่สุดก็เป็นที่รู้จักกันไปทั้วโลก และ ได้รับรางวัล หลายรางวัลจากการ์ตูนของแก ตัวอย่างการ์ตูนที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายได้แก่ "นินจาฮาโตริ, ปาแมน, ยูเมโบชิ เดงกะ, มาทาโระกาคูรุ, ศาสตราจารย์กอล์เฟอร์ ซารุ และ โดเรม่มอนประมาณสิ้นปีพ.ศ.2530 ท่านอาจารย์ทั้งสองก็ได้แยกตัวอิสระและใช้นามปากกาของตัวเอง โดยอาจารย์อ.อาบิโกะ โมโตโอะ ได้ใช้นามปากกา Fujiko Fujio (A) ส่วนอาจารย์ฟูจิโมโตะ ฮิโรชิ ได้เปลี่ยนมาใช้ Fujiko Fujio(F) และ ภายหลังเปลี่ยนมาใช้ Fujiko F. Fujioท่านอาจารย์อ.อาบิโกะ โมโตโอะ ได้เสียชีวิต ในปีพ.ศ.2531 ส่วนท่านอาจารย์ฟูจิโมโตะ ฮิโรชิ ได้เสียชีวิต ในวันที่ 23 กันยายน พ.ศ.2539
เนื้อเพลง โดเรมอนนะเนื้อเพลงภาษาญี่ปุ่นคอนนะโคะโตะอิอินะ เดะคิตะระอิอินะอันนะยูเมะคอนนะยูเมะ อิพพะอิอะรูเคะโดมินนะมินนะมินอินะ คะนะเอะเตะคุเระรุฟูชิงินะพกเก็ตโตะดะ คะนะอิเตะคูเระรูโซราจิยูนิ โทบิตะอินะฮาอิ ทาเคะคอปต้าอัง อัง อัง ตดเตะโมะดาอิซุคิ โดราเอ..มอนน... เนื้อเพลงแปลเป็นภาษาไทยเรื่องอย่างนี้ดีจังเลย ถ้าทำได้ละก็ยอดไปเลยนะความฝันเหล่านี้ เหล่านั้น มีตั้งเยอะตั้งแยะแน่ะทุกคนก็เป็นคนดี มาเติมฝันเหล่านั้นให้เต็มด้วยกระเป๋าวิเศษนี้ มาช่วยเติมฝันอยากบินได้อย่างอิสระบนท้องฟ้าจังเลยนะไฮ้ { นี่ไง ( เสียงของโดเรม่อน ) } คอปเตอร์ไม้ไผ่อัง อัง อัง ชอบมากๆ เลยล่ะ โดราเอม่อน
โดเรามอนชุดพิเศษ>> ไดโนเสาร์ของโนบิตะ>> บุกดินแดนมหัศจรรย์>> ตะลุยปราสาทใต้สมุทร >> ตะลุยแดนปีศาจ>> สงครามอวกาศ>> ผจญกองทัพมนุษย์เหล็ก>> เผชิญอัศวินไดโนเสาร์>> ตะลุยดาวต่างมิติ
เหตุที่โดเรมอนกลัวหนูโดเรม่อนเกิดเมื่อวันที่ 3 กันยายน 2112 ที่โรงงานหุ่นยนต์ มีตัวสีเหลืองแต่แล้ว วันหนึ่งก็ถูกหนูกัดหู ก็เปลี่ยนสีอย่างที่เราเห็นกันในปัจจุบัน โดราเอมอนก็กลัวหนูตั้งแต่นั้นมา
'
ต้นคิด โดเรมอนวันหนึ่งในปี พ.ศ. 2512 อาจารย์ฟูจิโมโตะ ฮิโรชิ ต้องเขียนการ์ตูนเรื่องใหม่ ดังนั้นท่านจึง ได้ไปปรึกษากับ อาจารย์โมโตโอะ อาบิโกะ ที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง พอกลับบ้าน อาจารย์ฟูจิโมโตะ ก็ยังคิดไม่ได้ว่าจะเขียนการ์ตูนอะไรดี ตอนนั้น...เนื่องจากใกล้เวลาเที่ยงคืนแล้ว ท่านง่วงและเผลอหลับไปเช้าวันต่อมา...อาจารย์ฟูจิโมโตะถูกปลุกด้วยแมวที่บ้านและนึกขึ้นได้ว่ายังไม่ได้คิดการ์ตูนเรื่องใหม่ อาจารย์รีบวิ่งลงบันไดไปชั้นล่าง แต่ก็สะดุดอะไรบ้างอย่าง อาจารย์ฟูจิโมโตะสะดุดตุ๊กตาของลูกสาวของเขานั่นเอง และนั่นทำให้อาจารย์เกิดไอเดีย โดยนำแมว และ ตุ๊กตา มาผสมกันในที่สุด อาจารย์ฟูจิโมโตะก็คิดออกว่า การ์ตูนเรื่องใหม่ที่จะเขียนเป็น เรื่องอะไร จากนั้นไอเดียเริ่มพุ่งกระฉูด โนบิตะและตัวการ์ตูนอื่นๆก็เริ่มตามมา ในที่สุดโดเรม่อนก็กลายเป็นการ์ตูนยอดฮิตของ

ประวัติหมีพู

ประวัติหมีพู
วันนี้ขอนำเสนอ ชีวิตน่ารักๆ ของพูประวัติ poohหมีพูห์รู้ดีว่าเขาต้องการอะไรเมื่อ “ท้องเริ่มส่งเสียงร้อง” นั่นคือ น้ำผึ้งไง! อืม... แต่จะทำอย่างไร หากเขาพบเพียงโถเปล่าที่มีน้ำผึ้งเหนียว ๆ ติดอยู่เพียงนิดเดียวเท่านั้น “งั้นเราก็ต้องช่วยจัดการให้โถเกลี้ยงเร็ว ๆ หน่ะสิ” เจ้าหมีสมองเล็ก (แต่บางครั้งก็ฉลาดล้ำลึก) วันนี้อาจพยายามหลอกเจ้าผึ้งขี้สงสัยว่าตัวเขาคือเมฆฝนสีดำก้อนใหญ่ หรือถ้าคิดอีกที การแวะไปบ้านกระต่ายเพื่อหาขนมหวานทานดูจะเป็นเรื่องง่ายกว่า (และเจ็บตัวน้อยกว่าด้วย) แต่ไม่ว่าพูห์จะเลือกทำอะไรก็มักจะมีเหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้นเสมอ แต่ก็นั่นแหล่ะ เขามักจะหาทางออกได้เสมอ เพราะแม้สมองของเขาจะเต็มไปด้วยนุ่น แต่เพื่อนรักของคริสโตเฟอร์ โรบินหรือที่ใคร ๆเรียกว่าเจ้าหมีแก่จอมงี่เง่าตัวนี้มีจิตใจที่งดงาม ..ในชีวิตจริง วินนี่ย์เดอะพูห์ (หรือที่รู้จักกันในชื่อ เอ็ดเวิร์ดแบร์ ในช่วงแรกเมื่อเขาปรากฏตัวใน ‘When We Were Very Young’) คือ ของเล่นสุดรักสุดหวงของคริสโตเฟอร์ มิลล์ (ลูกชายของเอ. เอ. มิลล์) ซึ่งได้รับเจ้าหมีน้อยตัวนี้เป็นของขวัญครบรอบหนึ่งขวบของเขาในปี 1921 ปัจจุบัน วินนี่ย์เดอะพูห์ถูกจัดแสดงให้แฟน ๆ ของการ์ตูนเรื่องดังกล่าวได้ชมกันที่ Children’s Readi Children’s Reading Room ใน New York Public Library บนถนน West 53rd Street ผู้ให้เสียงสำหรับตัวการ์ตูนตัวนี้ คือ สเตอร์ลิง ฮอลโลเวย์ ซึ่งเป็นนักแสดงชื่อดังและนักพากย์ที่สตูดิโอดิสนี่ย์

Create Date : 09 กุมภาพันธ์ 2550
Last Update : 21 กุมภาพันธ์ 2550 13:42:49 น. Counter :
9214 Pageviews.

151 commentsAdd to

Counter : Pageviews.


-->

วันอังคารที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

นิทาน

กระต่ายกับเต่า
.The Rabbit and The Tortoise .
มีอยู่ในวันหนึ่ง ได้มีเต่าตัวหนึ่งคลานต้วมเตี้ยม ๆ มาตามวิสัยของมัน และที่ตรงอีกทางด้านหนึ่งก็ได้มีกระต่ายตัวหนึ่งวิ่งผ่านมา ทางนั้นเข้าอย่างบังเอิญด้วยความรวดเร็ว "ฮิฮิ! นี่เจ้าเต่า นายชอบ ที่จะเดินต่วมเตี้ยม ๆ อยู่อย่างนี้เสมอ ๆ ทำไมนายถึงได้เดินได้ช้าอย่างนั้นเล่า? " เต่าจึงได้พูดว่า " ถึงแม้ว่าข้าจะเดินได้ช้า แต่ถ้าพูดถึงเรื่องของความอดทนแล้วข้าไม่เคยแพ้ใคร
" One day, when a tortoise was walking, a rabbit came running from the other side. "hihi!, the tortoise. You walk slowly also today. Why do you walk slowly like that?" "I walk slowly but, nobody has bigger durability than mine." said the tortoise.

" นายลองมาแข่งขันวิ่งไปที่บนยอดเขานั่นกับข้าดูเอาไหมล่ะ ? " กระต่ายเมื่อได้ยินอย่างนั้น ก็หัวเราะลั่นอย่างดัง "ฮ่ะ ฮ้า น่าสนใจมาก เลยทีเดียว แต่รับรองได้ว่าไม่มีทางที่เจ้าจะ เอาชนะข้าไปได้หรอก มันเปรียบเทียบกันไม่ได้..ว่างั้น" กระต่ายเที่ยวไปเรียกพวกพ้องให้มาชุมนุมกันอย่างทันท่วงที และรวมทั้งให้เป็นกรรมการใน การแข่งขันอีกด้วย " ทุก ๆ คนมาดูเป็นสักขีพยานว่าใครจะเป็นผู้ชนะ ในการแข่งขันวิ่งเร็ว ระหว่างเต่าโง่กับตัวข้า..ฮ่ะฮ่ะ
"You may compete with me to the top of that mountain." the tortoise said. The rabbit said, laughing aloud , "ha ha, It is interesting, Although It is impossible for you to win against me." The rabbit gathered friends promptly . The rabbit had a plan to give a disgrace and laugh at the tortoise. "Everybody, please look at the result of which one run fast in this dull tortoise and me ha ha."
" เตรียมพร้อม !,ไป " พอสิ้นเสียงบอกสัญญาณเริ่มการแข่งขันโดยสุนัขจิ้งจอก แล้วทั้งเต่าและกระต่ายก็เริ่มออกวิ่งไปพร้อม ๆ กัน " ปิย้อง ปิย้อง " กระต่าย กระโดดออกวิ่งนำหน้าไปด้วยความเร็วสูง เผลอแผลบเดียวมันก็วิ่งมาจนถึงที่ตรงจุดกึ่งกลาง ของทางระหว่างภูเขา มันจึงได้หยุดวิ่ง " เจ้าเต่ามันมาถึงไหนแล้วล่ะ ? " พูดแล้วมันก็ได้หันไปดู และก็ได้เห็นว่าเต่านั้นยังคงคลานตามมาอย่างช้า ๆ มองเห็นไกล ๆ
"Ready !, Go!" The tortoise and the rabbit started with the shout of a fox, simultaneously . "Pyon!Pyon!Hyew" The rabbit ran at uncanny speed. And, the rabbit had reached to the middle of a mountain in a moment . "Where is the tortoise?" When the rabbit looked back, the tortoise was walking far after .
พวกผู้ชมที่มาชุมนุมกันต่างก็หัวเราะและได้พูดว่า " ท่านเต่า..ท่านเต่า ท่านนี่ ช่างเป็นผู้ที่เดินได้ช้ามาก อาจที่จะพูดได้ว่าเดินได้ช้าที่สุดในโลกเลยก็ได้..ฮ่ะฮ่ะ " แม้ว่าจะได้ยินแบบนั้นแต่เต่าก็ไม่สนใจอะไรยังคงคลานของมันต่อไปด้วยความเงียบสงบอย่าง ตั้งใจเพื่อที่จะให้ไปถึงที่บนยอดเขาโดยไม่คิดที่จะหยุดพักผ่อน ข้างฝ่ายกระต่ายเมื่อรอเท่าไหร่ ๆ ก็ไม่เห็นมีทีท่าว่าเจ้าเต่าจะตามมาทันมันสักที...มันจึงเริ่ม นึกเบื่อกับการรอคอย " เจ้าเต่ามันยังคงคลานอยู่อีกตั้งไกล นอนรอซักงีบหนึ่งคงได้.. ถึงยังไงมันก็ไม่มีทางที่ตามมาทันได้หรอก" มันพูดแล้วก็ล้มตัวลงนอน แล้วหลับไปตรง ที่กลางทางตรงภูเขานั่นเอง
The audience laughed at him together, saying "Tortoise, tortoise, you are slowest in the world..ha ha." The tortoise was still walking aiming at the top of a mountain without doing a rest . The rabbit was tired of waiting, "The tortoise is yet far, I will also still do a nap for a while." He fell asleep at the midway of the mountain.
ในขณะที่กระต่ายกำลังหลับอยู่อย่างสนิท เต่าซึ่งได้เดินมาอย่างไม่คิดที่ จะหยุดพักผ่อนนั้น " ถึงแม้ว่าขาของข้าจะสั้นเดินได้ช้าก็จริงแต่เรื่องของ ความอดทนแล้วข้าไม่เคยยอมแพ้ให้ใคร ข้าจะต้องทำดีที่สุดเท่าที่ข้าจะทำได้!" หลังจากที่ในขณะที่เต่าได้เดิน มาจนถึงที่ตรงจุดกึ่งกลางของภูเขา พลันมันก็ได้ ยินเสียงหนึ่งซึ่งเป็นเหมือนกับเสียงกรนจากในที่แห่งหนึ่ง " เสียงกรนที่ไหนนี่... อะฮ้า เจ้ากระต่ายนี่ มันมาแอบนอนหลับอยู่ที่นี่เอง"
While the rabbit was sleeping, the tortoise is continuing walking without a rest . "Although I am a dull foot, I don't lose at durability to anybody . I will do my best!" After a while , when the tortoise came in the mountain, he heard a snore from some where. "What?, a snore is heard. Ah!, the rabbit is sleeping there."
ที่ใกล้ ๆ ตรงนั้นกระต่ายกำลังนอนหลับอยู่อย่างสุขสบาย ส่วนเต่านั้น ยังคงที่จะ เดินต่อไป...ทีละก้าว..ทีละก้าวอย่างจริงจังและอดทน และแล้วหลังจากนั้นชั่ว ขณะหนึ่งกระต่ายก็เริ่มรู้สึกตัวและสะดุ้งตื่นขึ้นมา " เฮ้..นี่เจ้าเต่า มันคลานมาจนถึงที่ไหนแล้วนี่?? " มันรีบกวาดสายตามองหา แต่ก็ช้าและสายไปเสียแล้ว เพราะเมื่อมันมองไปที่ตรงจุดเส้นชัยที่อยู่บนยอดเขาโน่น มันก็ได้เห็นว่าเจ้าเต่ากำลังแสดง ความยินดีที่ได้รับชัยชนะอยู่อย่างมีความสุข..อยู่ในขณะนั้นเสียแล้ว
Near the rabbit which is sleeping well , the tortoise walked step by step earnestly. After a while, the rabbit woke up at last. "Hee ! Where is the tortoise?" He looked for the tortoise, but he could not find it anywhere. when he noticed and looked at the top of a mountain, the tortoise was showing cheers there.
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
"ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จก็อยู่ที่นั่น เหมือนอย่างที่เต่าได้พบนะคะ"
let's have the perseverance which can work steadily like the tortoise. .
รักเธอเท่าฟ้า....โดยสุขุมาลย์

มดกับตัวดักแด้

นิทานอีสป เรื่อง มดกับตัวดักแด้
นิทานอีสป เรื่อง มดกับตัวดักแด้
ในคืนวันหนึ่งที่ในป่าลึก ได้เกิดลมมรสุมลูกใหญ่พัดกระหน่ำลงมาตลอดทั้งคืน...เรียกว่ามันเป็นคืน ที่สยองและโหดร้ายอย่างมากเลยทีเดียว...และกว่าลมมรสุมลูกนั้นจะพัดผ่านพ้นลงไปก็เช้าพอดี พระอาทิตย์แย้มหน้าออกมาส่องแสงให้ความสว่างไสวไปทั่วทั้งป่า มีมดตัวหนึ่ง ค่อย ๆแย้มหน้าของมัน โผล่หัวออกมาจากใต้ใบไม้แห้งที่วางปิดอยู่บนปากหลุมใต้ต้นไม้ต้นใหญ่ต้นหนึ่งที่เมื่อคืนมันได้ใช้ เป็นที่หลบลมพายุลูกร้ายลูกนั้นอยู่ทั้งคืน.
..
" โอ้ย...สุดแสนจะน่ากลัวและโหดร้ายมากเลยเมื่อคืนนี้ " เมื่อมันโผล่หัวออกมาได้ ก็บ่นงึมงำอย่างหัว เสียเป็นที่สุด แล้วขณะนั้นมันก็ได้เหลือบไปเห็นสิ่งหนึ่งเข้า เจ้าสิ่งนั้นเคลื่อนไหวไปมาอย่างลำบาก ลำบนกลิ้งกระดืบออกมาจากใต้ใบไม้แห้งข้าง ๆตัวของมัน มันหละให้เป็นนึกขะหยะขะแหยงและความรู้ สึกไม่ค่อยจะดีในความน่าเกลียดของเจ้าสิ่งที่มันได้เห็นนั้น ทำไมถึงน่าเกลียดน่าชังอย่างนี้นะ...มันคิด แล้วก็พร้อมกันนั้นมันก็พูดขึ้นกับเจ้าสิ่งนั้นว่า " นี่เอ็ง...เป็นตัวอะไรฟะ มือก็ไม่มีขาก็ไม่มี จะเคลื่อนไหว แต่ละทีก็ลำบากลำบนออกอย่างนั้น...ทำไมเจ้าถึงเป็นแมลงตะกูลที่น่าเกลียดที่สุดในโลกอย่างนี้เล่า.
.. "
สิ่งที่มันนึกขะหยะขะแหยงนั้นคือตัวดักแด้ที่กำลังรอเวลาที่จะลอกคราบอยู่ในอีกไม่นานแต่เพราะลม มรสุมเมื่อคืน มันจึงโดนพัดให้ตกลงมาสู่พื้นดินด้านล่างอย่างโชคร้าย..." ขอโทษทีนะท่าน ที่ทำให้ท่านความรู้สึกไม่ดีเมื่อเห็นเราเข้า เราเป็นดักแด้ตัวอ่อนของแมลงชนิดหนึ่ง มือก็ไม่มี ขาก็ไม่มี จึงเดินไม่ได้เหมือนอย่างท่าน " เจ้ามดเมื่อได้ฟังดังนั้นก็ทำหน้าเบ้ แล้วพูดว่า " แมลงอย่างเจ้า เกิดมามีกรรม เสียชาติเกิดนะ เป็นแมลงจะต้องมีขาแล้วต้องเดินได้ปีนต้นไม้ได้ เหมือนอย่างข้านี่สิ ถึงจะเรียกว่าแมลง ไม่เสียชาติเกิด...ช่างเป็นเรื่องที่น่าอายอย่างเหลือเกินถ้าจะให้ข้านับเจ้าว่าเป็นพวกพ้อง แมลงเผ่าพันธุ์เดียวกันกับข้า ฮึ...เสียความรู้สึกเป็นที่สุด " เจ้ามดพูดว่าและดูถูกตัวดักแด้ตัวนั้นให้เสียใจ อย่างมาก...แล้วมันก็เดินหนีจากไปทันที...

เมื่อเวลาได้ผ่านมาวันหนึ่ง หลังจากที่ฝนได้ตกลงมาอย่างหนัก พื้นดินทั่วทั้งป่าก็บรรดาลให้เกิดเป็นโคลน เป็นตมไปหมดทั่วทุกที่ ขณะที่เจ้ามดตัวเดิมกำลังเดินลุยโคลนอยู่ด้วยความลำบากลำบนเพราะกว่ามัน จะก้าวขาออกไปข้างหน้าได้แต่ละก้าวนั้น โคลนเหลว ๆที่เกาะอยู่ตามแข้งตามขาของมันคอยยึดขาของ มันไว้ติดเหนียวแน่นทำให้เดินลำบากน่ารำคาญอย่างยิ่ง มันจึงบ่นขึ้นด้วยความหัวเสีย " โอ้ย...โคลนเละ ๆ เหลว ๆทั้งนั้น เดินลำบากยากเย็นเสียจริง ๆ " มันบ่นไปเดินไปและคิดว่าแหมวันนี้มันช่างโชคร้าย เสียเหลือเกิน...แล้วขณะนั้นอยู่ ๆก็มีเสียง ๆหนึ่งดังขึ้นมาจากด้านบนเหนือหัวของมันว่า " แมลงที่มีขา อย่างเดียวไม่มีปีกบินไปไหนมาไหนหนีภัยไม่ได้อย่างเจ้า ก็จำเป็นจะต้องได้รับกรรมจำต้องเดินด้วย ความลำบากลำบนในที่ ๆทีเป็นโคลนเป็นตมอย่างนั้น ช่างน่าสงสารเสียเหลือเกินนะเนี่ย...เกิดมาเป็น แมลงมีแต่ขาอย่างเดียวอย่างเจ้านี่ เสียชาติเกิดนะ เจ้ามดเอ๋ย..ช่างน่าอายเหลือเกินถ้าจะให้ข้านับเจ้า ว่าเป็นแมลงเผ่าพันธุ์พวกพ้องเดียวกันกับข้า...ช่างน่าอายเสียจริง ๆ"

เจ้ามดรีบเงยหน้าขึ้นมองตามเสียงที่พูดดูถูกดูแคลนมันอยู่ทันที แล้วมันก็ได้เห็นผีเสื้อที่สวยงามมาก ตัวหนึ่งกำลังกะพือปีกที่กว้างใหญ่และสวยงามนั้นเหมือนอวดเยาะเย้ยอยู่ด้านบน มันจึงพูดว่า " อันนั้นมัน เรื่องของข้า ก็ข้าเกิดมาไม่มีปีกเหมือนเจ้านี่ก็จำเป็นที่จะต้องเดินลุยโคลนลุยตมอยู่อย่างนี้ แล้วทำไม เจ้าจึงมาว่าข้าอย่างเสียหายอย่างนี้เล่า " ผีเสื้อจึงตอบออกมาแบบเหยียดหยามว่า " เจ้ามดจอมปากเสีย ข้าคือตัวดักแด้ตัวที่แกเคยพูดดูถูกเหยียดหยามเอาไว้ครั้งหนึ่งให้ต้องได้ช้ำใจ...เจ้าพอจะนึกออกไหม?ล่ะ ตอนนี้ข้าได้ลอกคราบออกมาแล้วเป็นผีเสื้อมีปีกที่สวยงามและสามารถที่จะบินไปในที่ไหน ๆได้อย่างสะดวก สบายและอิสระ...น่าสงสารเจ้านะเกิดมาไม่มีปีก มีแต่ขาก็กรรมมากพออยู่แล้ว แต่ก็ยังไม่สามารถที่จะเดิน ได้อย่างอิสระเสียอีกอย่างที่ข้าได้เห็นนี่น่ะ " ว่าทิ้งท้ายเสร็จแล้ว ผีเสื้อก็กระพือปีกและบินจากไป..
.
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า หัวเราะทีหลังย่อมดังกว่าเสมอและอย่างแน่นอนด้วย

เด็กเลี้ยงแกะ


ที่หมู่บ้านแห่งหนึ่งมีเด็กเลี้ยงแกะ อยู่คนหนึ่ง ทุกวัน...ทุกวัน...เด็กเลี้ยงแกะคนนี้ จะต้องต้อนฝูงแกะของตน ออกไปหากินหญ้าที่เนินเขาใกล้ชายป่าอยู่สมอมา...และเมื่อเขาได้นำฝูงแกะมาถึงที่หมายแล้ว ก็จะต้องนั่ง เฝ้าเพื่อคอยปกป้องให้พ้นจากการเป็นเหยื่อของหมาป่า อยู่จนกว่าพวกแกะทั้งฝูงจะกินหญ้าเสร็จ ซึ่งมันก็เป็น หน้าที่ประจำวันที่แสนจะน่าเบื่อหน่ายอย่างที่สุดของเขา เมื่อทุกวันๆ จำจะต้องทำอย่างซ้ำซากจำเจและหลีกเลี่ยง ไม่ได้อย่างนั้น เขาจึงรู้สึกเบื่อหน่ายและแสนที่จะเซ็ง...อย่างที่สุดขึ้นมาเข้าวันหนึ่ง จึงคิดหาเรื่องสนุกๆ ทำเล่น เพื่อให้คลายความเครียดและเกิดความสนุกสนานขึ้นมาเสียสักหน่อย...ท่าจะดี และเมื่อคิดได้อย่างนั้นแล้ว..
.


ลูกโป่งบัวแก้วเข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005ตอบ: 4089
ตอบเมื่อ: 09 พ.ย.2005, 1:39 am

จึงแกล้งร้องตะโกน ขึ้นด้วยเสียงอันดัง พร้อมทั้งวิ่งอย่างตระหนกตกใจเข้าไปในหมู่บ้าน ปากก็ร้องตะโกนโหวก เหวกไปตลอดทางว่า "ช่วยด้วยจ้า ! ช่วยด้วยจ้า....หมาป่ามากินแกะแล้ว...ช้วยด้วยเจ้าข้า..." พวกชาวบ้านเมื่อ ได้ยินว่ามีหมาป่าออกมาดังนั้น จึงพากันวิ่งเข้ามาหมายจะช่วยพร้อมด้วยอาวุธต่าง ๆที่พอจะมีกัน...แต่แล้วเมื่อ พากันวิ่งมาถึงตรงที่พวกฝูงแกะอยู่นั้น ก็ไม่พบและเห็นว่ามี หมาป่าอยู่ที่ไหนเลยสักตัวเดียว แล้วยังแถมมองเห็น ว่าพวกแกะนั้นกำลังเล็มหญ้ากินกันอย่างสบายใจ เด็กเลี้ยงแกะแอบหัวเราะขึ้นในใจ อย่างถูกใจเป็นที่สุด ที่ หลอกทุกคนได้ "ฮ่าๆๆๆ ฮู่ๆๆๆๆ ขำว่ะคนโดนเด็กหลอก ฮ่าๆๆๆ" เจ้าเด็กเลี้ยงแกะยิ้มหน้าระรื่นพร้อมทั้ง ได้บอกกับพวกชาวบ้านที่กำลังยืนงงกันอยู่นั้น อย่างมองแล้วก็รู้ว่าโดนเด็กหลอกให้เข้าอย่างเต็มเปาเลยหละว่า "พวกท่าน ฮึๆๆ มาช้าไปนิดเดียวแค่เส้นยาแดงผ่าแปดเอง หมาป่ามันวิ่งหนีไปทางโน้น...แล้วหละ ฮึๆๆๆ"



ลูกโป่งบัวแก้วเข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005ตอบ: 4089
ตอบเมื่อ: 09 พ.ย.2005, 1:39 am




ลูกโป่งบัวแก้วเข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005ตอบ: 4089
ตอบเมื่อ: 09 พ.ย.2005, 1:40 am

พวกชาวบ้านเมื่อได้ฟังดังนั้น และเห็นเด็กเลี้ยงแกะทำท่าหัวเราะถูกใจ อย่างสุดที่จะระงับด้วยอาการแบบนั้นเข้า ก็รู้ทันทีว่าพวกเขาได้โดนหลอกเสียแล้ว ต่างก็ให้เป็นโมโหกันอย่างมาก ด้วยเพราะต้องเสียเวลาทำงานของพวก เขาไปโดยปล่าวประโยชน์เหมือนไร้ค่าแบบน่าโมโหอย่างนั้น เด็กเลี้ยงแกะเมื่อหลอกใครๆ ได้สำเร็จ ก็ให้เป็นรู้สึก สนุกสนานเป็นอย่างมาก แล้วจากนั้น เขาก็ยังแกล้งหลอกแบบเดิม ให้ชาวบ้านพากันวิ่งหน้าตื่นเข้ามาช่วย ได้อีก 2-3 ครั้ง



ลูกโป่งบัวแก้วเข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005ตอบ: 4089
ตอบเมื่อ: 09 พ.ย.2005, 1:41 am




ลูกโป่งบัวแก้วเข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005ตอบ: 4089
ตอบเมื่อ: 09 พ.ย.2005, 1:41 am

จนกระทั่งวันหนึ่ง ได้มีหมาป่าออกมาไล่จับกินแกะเข้าจริงๆ คราวนี้เด็กเลี้ยงแกะ ตาเหลือก หน้าซีดวิ่งร้อง เสียงหลงเลยทีเดียว และได้เข้าไปขอร้องผู้คนเป็นการใหญ่ "ช่วยด้วยจ้า ! ช่วยด้วยจ้า....หมาป่ามากินแกะแล้ว... ช้วยด้วยเจ้าข้า !" เขาตะโกนร้องขอความช่วยเหลือจนหอแหบ คอแห้งไปหมด แต่พวกชาวบ้านนั้น ด้วยทุกคน ก็ได้เคยโดนหลอกอย่างนี้มาแล้วหลายหน จึงไม่สนใจและเดินหนีกันไปหมดทุกคนเลยนั่นแหละ....


ลูกโป่งบัวแก้วเข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005ตอบ: 4089
ตอบเมื่อ: 09 พ.ย.2005, 1:42 am




ลูกโป่งบัวแก้วเข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005ตอบ: 4089
ตอบเมื่อ: 09 พ.ย.2005, 1:42 am

ก็จะมีใครเล่า...ที่จะเชื่อคนที่เคยและชอบโกหกพกลมอย่างนี้...สักคนเล่า...และในที่สุด ฝูงแกะทั้งฝูงของเด็กเลี้ยง แกะผู้ชอบปด ก็เลยจำต้องโดนหมาป่าเขมือบกินเป็นอาหารไปเสียจนหมด ไม่มีเหลือเลยสักตัว เด็กเลี้ยงแกะเลย จำต้องมานั่งร้องให้โอดครวญอย่างน่าสงสารอยู่ตรงข้างซาก ของฝูงแกะของตัวเอง และพูดทั้งน้ำตาว่า "ไม่ควร เล้ย..เพราะข้าไม่ดีเอง ขี้โกหกโป้ปดมดเท็จ เพราะเห็นเป็นเรื่องสนุก กว่าจะรู้ว่ามันไม่ดี...ฮื่อๆๆๆ ก็สายไปเสีย แล้ว ฮื่อๆๆๆ" เขานั่งร้องให้ขี้มูกโป่งด้วยความเศร้าโศรก อย่างที่เรียกว่า ผิดครั้งนี้..เล่นเอา เขาจำต้องหัวเราะไม่ ออกไปอีกนานเลยทีเดียวเลยหละ"


ลูกโป่งบัวแก้วเข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005ตอบ: 4089
ตอบเมื่อ: 09 พ.ย.2005, 1:43 am

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า คนที่มักหรือชอบพูดโป้ปดมดเท็จ เมื่อถึงคราวพูดจริงก็ยากที่จะมีใครสักคนเชื่อ...ท่านว่าไหมล่ะ ?
. แปลและเรียบเรียงโดยสุขุมาลย์
คัดลอกมาจาก : http://sukumal.brinkster.net/

สโนไวทื

หลายคนหลงรักสโนไวท์เพราะเธอเป็นตัวแทนแห่งความอ่อนหวาน ความนิ่มนวลและความดีงาม บุคลิกลักษณะที่อ่อนหวานมีสเน่ห์ใจดี พูดจาไพเราะโรแมนติก และช่างดูแลเอาใจใส่ผู้อื่นอยู่เสมอนี้เอง ทำให้เธอชนะใจคนคนอ่านทั่วโลกมาตลอดตราบนานเท่านาน.... เรื่องมันเกิดขึ้นมาในกาลครั้งหนึ่ง ซึ่งในที่นั้นได้มีพระราชา และพระราชินีผู้ครองนครที่ยิ่งใหญ่ และสวยงามมากแห่งหนึ่ง.... วันหนึ่งพระราชินีทรงนั่งเย็บผ้าและทอดพระเนตรหิมะสีขาวอันบริสุทธิที่ตก พร่างพรายอยู่ที่เฉลียงหน้าต่างของปราสาทอย่างทรงพึงพอพระทัยในความงดงาม พลันเข็มที่พระองค์ใช้เย็บผ้าอยู่นั้น ได้แทงถูกนิ้วของพระนาง จนเลือดสีแดงสดหยดลงไปบนหิมะสีขาวที่เกาะอยู่ที่ขอบหน้าต่างเป็นทางยาว พระองค์ทรงพอพระทัยกับภาพที่ได้ทรงมองเห็น จนพระองค์ทรงอดที่จะรำพึงออกมาเสีย มิได้ว่า " ถ้าฉันยังมีบุญหลงเหลืออยู่... แล้วละก็...ฉันอยากได้ลูกสาวที่มีผิวขาวสะอาดดังหิมะขาวที่กำลังตกอยู่นี่ ริมฝีปาก ก็ขอให้มีสีแดงสดเหมือนดังชาดแต้ม เรือนผมนั้นหรือก็ขอให้มีสีที่ดำขลับ สลวยเหมือนเส้นไหม..ได้โปรดเถิดพระผู้เป็นเจ้า..
.."
หลังจากนั้นต่อมาไม่นาน พระราชินีก็ทรงให้กำเนิดพระธิดาขึ้นมาจริง ๆ สมตามความปรารถนา และคำอธิฐานของพระองค์ ด้วยพระธิดาองค์น้อย นั้นช่างสวยงามน่ารัก มีผิวที่ขาวดังเกร็ดหิมะ ริมฝีปากนั้นหรือก็มี สีแดงดังเอาชาดแต้มเอาไว้ไม่มีผิด เรือนผมก็สลวยสีดำขลับเป็น มันเหมือนเส้นไหม ทั้งสองพระองค์ทรงปิติยินดีและทรงถนอม กล่อมเกลี้ยง เลี้ยงดูพระธิดาองค์น้อยนี้อย่างดีที่สุดเท่าที่พระองค์ทั้งสองจะทรงทำได้ แต่แล้วความสุขที่ได้เกิดขึ้นนี้ ก็ดูเหมือนจะดำเนินต่อไปได้ไม่นาน เพราะพระราชินี ทรงประชวรด้วยโรคร้ายอย่างกระทันหัน และทรงสิ้นพระชนลงไป
ในเวลาไม่นานหลังจากนั้น..... .
ครั้งแรก พระราชาตั้งใจว่า เมื่อสิ้นพระราชินีคู่ใจคู่บัลลังก์ไปเสียแล้ว พระองค์จะไม่ทรง อภิเษกสมรสใหม่อย่างแน่นอน แต่นานวันเข้า ความเหงาบวกกับพระองค์ต้องการให้พระธิดาองค์น้อย ของพระองค์ ผู้มีนามว่า สโนไวท์ ได้มีพระมารดาเลี้ยงเพื่อช่วยพระองค์ดูแลอบรมสั่งสอน พระองค์จึงตัดสินใจอภิเษกสมรสกับหญิงสาวแสนสวยนางหนึ่ง ซึ่งแท้ที่จริง แล้วนางเป็นแม่มดที่ใจร้าย ที่ได้แอบปลอมตัวมา เพราะนางต้องการที่จะครอบครองเมือง ที่สวยงามแห่งนี้เอาไว้เป็นของนางแต่เพียงผู้เดียว

นางแม่มดผู้นี้มีนิสัยเสียอยู่อย่างหนึ่งคือเป็นผู้ที่หลงไหลในความงามของตนเอง อย่างไม่ลืมหูลืมตา นางจะมีกระจกวิเศษที่นางมักจะไปแอบส่องเพื่อชื่นชม ความงดงามของตัวนางเองอยู่เสมอๆ โดยนางจะตั้งคำถามกับกระจกวิเศษบาน นั้นว่า" โอ...กระจกวิเศษ บอกข้า เถิด ใครงามเลิศในปฐพี " และในทุกครั้ง กระจกวิเศษก็จะตอบว่า " ผู้งามเลิศในปฐพีนี้ก็เห็นมีเพียง ท่านคนเดียว " และ คำตอบก็จะเป็นดังเช่นนี้เรื่อยมา นำความพึงพอใจมาให้นางแม่มด เป็นยิ่งนัก..
..
จวบจนเจ้าหญิงสโนไวท์เจริญเติบโต จนเป็นสาวสะคราญร่างอรชร ใบหน้าหวานละมุน ดวงตากลมโต ริมฝีปากสีสดดังอย่างกับทาชาด แต้มไว้ก็ไม่ปาน เรือนผมนั้นหรือก็เป็นมันเงางามยาวสลวย และตั้งแต่ บัดนั้นเป็นต้นมาคำตอบในกระจกก็เริ่มเปลี่ยนไป" โอ...กระจก วิเศษ บอกข้าเถิด ใครงามเลิศในปฐพี " กระจกวิเศษนิ่งเหมือนสำรวจความ งามของหญิงในทั่วหล้า ก่อนที่จะตอบนางแม่มดว่า " โอ... ผู้งามเลิศกว่าหญิง ใดในปฐพี ก็เห็นมีแต่สโนไวท์เพียงเท่านั้น " และเท่านั้นเอง....ความโกรธ และความเกลียด ที่สั่งสมมานมนานเปรียบตั้งแต่นางได้เข้ามาอยู่ในฐานะพระมารดาเลี้ยงก็ลุกโชนขึ้น คราวนี้มันถูกอาบเพิ่มขึ้นด้วยความอิจฉาริษยาในความงามของ พระธิดาสโนไวท์ จนสุดที่จะมีอะไรจะมาระงับมันไว้ได้เสียแล้ว
....
" อะไร..จะเป็นอย่างนั้นไปได้ยังไง ! มันงามเลิศเหนือข้าหรือนี่ ! " นางแม่มดให้เป็นคิดเคียด คิดแค้นในใจจนไม่เป็นที่จะทำอะไรเลยทีเดียว... ดังนั้น นางแม่มดจึงออกคำสั่งให้คนของตนปลอมตัวเป็น นายพรานป่า อาสาพาพระธิดาโฉมงามออกไปประพาสป่าแล้วให้จัดการฆ่าทิ้งเสีย "แล้วเอา หัวใจของมันมา ให้ข้าด้วย " นางแม่มดสั่งสับทับด้วยน้ำเสียงที่เหี้ยม เกรียมสยดสยองน่ากลัวมากเสียด้วย หากแต่...
นายพรานป่าผู้รับคำสั่งผู้นั้นยังมีคุณธรรมค้ำใจของเขาอยู่บ้าง เขาไม่ได้ฆ่าสโนไวท์เพราะเป็นด้วยความสงสาร และเขาคิดว่า " นางเป็นเพียงหญิงสาวตัวเล็ก ๆ ที่มิอาจช่วยเหลือตัวเองได้ นางคงไม่มีความสามารถ ที่จะย้อนกลับเข้าไปในเมืองได้อีกหรอก " เมื่อคิดได้ดังนั้น เขาจึงปล่อยสโนไวท์ไป พร้อมทั้งกับได้บอกกำชับด้วยว่า " จงหนีไปให้ไกล ๆ นะ พระเจ้าข้า เพื่อชีวิตของพระองค์เอง " จากนั้นเขาจึงฆ่ากระต่ายป่าตัวหนึ่ง แล้วควักเอาหัวใจของมันไปให้นางแม่มดแทน

สโนไวท์เดินสะเปะสะปะอยู่ท่ามกลางป่าใหญ่ด้วยความหวาดหวั่น หวาดกลัวเพราะป่าแห่งนี้เต็มไป ด้วยสัตว์ร้ายนานาชนิด เพียงนางได้ยินเสียงชะนี ป่ากู่ร้องหาลูกหาผัวของมันเพียงเท่านั้น ร่างบาง ๆ ก็ไหวยะเยือก เพียงลมพัด กรูเกรียวก็คลับคล้ายลมหายใจของสัตว์ร้ายที่หมายจะขย้ำร่างปวกเปียกที่เดียว ดายอยู่กลางป่าอย่างน่าสงสารจับใจ แต่ถึงกระนั้นแม้ว่าจะกลัวจนสุดชีวิต แม้จะสงสารตัวเองมากสักเพียงใดก็ตาม สโนไวท์ก็แค่แต่น้ำตาซึมในโชคชะตา ของตนเองเท่านั้น เธอไม่หลั่งน้ำตาให้ความโชคร้ายครั้งนี้ ด้วยวิสัยของขัตติยานี ทำให้เธอต้องยืดพระวรกายให้ตั้งตรงแล้วเดินหน้าต่อไปสโนไวท์คิด ว่า " ชีวิตของฉัน จะไม่จบสิ้นลงง่าย ๆ ในป่านี้หรอกน่า
"
และก็ดูเหมือนว่าโชคของเธอยังจะดีอยู่มาก เมื่อเธอบังเอิญไปเจอ บ้านหลังเล็ก ๆ หลังหนึ่งเข้า ทุกอย่างที่อยู่ในบ้านหลังนั้นดูเหมือน จะเล็กเกินไปสำหรับเธอเสียสิ้น ทั้งข้าวของเครื่องใช้ภายในบ้าน ทั้งโต๊ะอาหารที่ทำจากไม้สักสวยงามกลางห้อง ทั้งเตียงเจ็ดหลัง ซึ่งตั้งเรียงกันอยู่ในส่วนของห้องนอน ก็ดูเล็กเกินกว่าที่เธอจะใช้นอนได้ เธอจึงตัดสินใจนำเตียงทั้งเจ็ดหลังมาต่อเรียงติดกันเป็นทางยาวแล้ว ล้มตัวลงนอนลงไปที่เตียงทั้งเจ็ดตัวนั้น ด้วยความเหนื่อยจากการเดิน ทางบวกกับความหิว ไม่นานสโนไวท์ก็ผลอยหลับไป

หน้า 1 หน้า 2 หน้า 3
รักเธอเท่าฟ้า...โดยสุขุมาลย์

หนูน้อยหมวกแดง

นิทานเรื่อง " หนูน้อยหมวกแดง " เป็นนิทานของประเทศทางยุโรป แต่งโดย สองพี่น้องตระกูลกริมม์ ซึ่งเป็นนักเขียนเทพนิยายชื่อดัง " หนูน้อยหมวกแดง "เป็นตัวแทนของเด็กผู้หญิงตัวน้อยผู้มีจิตใจอ่อนโยน ดีงาม ซื่อใสบริสุทธิ์ และในขณะเดียวกันก็กล้าหาญ บวกกับเนื้อเรื่องที่ตื่นเต้น ผู้อ่าน จึงสนุกกับการได้คอยเอาใจช่วยเหลือเธอ พร้อมกันนั้นบางท่านอาจถึงกับนึกเคือง เจ้าหมาป่าตัวร้ายด้วย และนี่เองคือสเน่ห์ที่ทำให้นิทานเรื่องนี้เป็นนิทานอีกเรื่องที่อยู่ในใจ ของผู้อ่านตลอดมา..
..
นานมาแล้วที่หมู่บ้านแห่งหนึ่ง มีแม่และลูกสาวตัวเล็ก ๆ หน้าตาหน้า เอ็นดูมากคนหนึ่ง ที่ใคร ๆ ต่างก็จะเรียกเธอกันจนติดปากว่า" หนูน้อย หมวกแดง" ที่เป็นเช่นนั้นก็เนื่องมาจากด้วยเธอมักที่จะใส่หมวกที่เป็น แบบเสื้อคลุมติดกันสีแดงสด ซึ่งหมวกนี้ยายของเธอที่อยู่ในหมู่บ้านถัดไป ได้ถักให้กับเธอเป็นของขวัญในวันเกิด และเธอก็ชอบมันมากมักจะใช้ ประจำติดตัวอยู่เสมอนั่นเอง หนูน้อยคนนี้เป็นเด็กหญิงที่น่ารัก จิตใจดี มีเมตตาต่อเพื่อน ๆ และสัตว์ ทั้งหลาย ดังนั้นเธอจึงเป็นที่รักยิ่งของทุกๆ คนและเพื่อน ๆ รวมทั้งสัตว์ ต่าง ๆ อีกด้วย

อยู่มาวันหนึ่ง แม่ของหนูน้อยหมวกแดงได้เรียกหาเธอแต่เช้าแล้วบอกว่า " วันนี้ลูกต้องเอาอาหารซึ่งเป็นขนมพาย, และ เหล้าองุ่นไปให้คุณยายที่กำลังนอนป่วยอยู่นะจ๊ะ" หนูน้อยหมวกแดงรีบตอบรับทันที " ค่ะ" พลางฉวยตระกร้าจากมือของแม่ แล้วทำท่าจะเดินจากไป โดยมีแม่ร้องสำทับขึ้นตามหลังว่า " อย่าเถลไถลและแวะเล่นที่ไหนด้วยนะจ๊ะ ลูก เพราะคุณยายกำลังรออยู่ แล้วอีกอย่างหนึ่งลูกจะกลับบ้านมืดค่ำด้วย อันตรายจ้ะ ได้ยินไหม?" หนูน้อยหวกแดงรับคำอีกครั้ง "ค่ะ แม่" แล้วเธอก็มุ่งหน้าไปที่บ้านของยาย ซึ่งอยู่ห่างออกไปอีกหมู่บ้านหนึ่งทันที

หมู่บ้านถัดไปที่คุณยายของเธออาศัยต้องเดินผ่านทุ่งหญ้าขนาดใหญ่ ทุ่งหญ้านั้นมีต้นอ้อปลิวไสวล้อเล่นลม และยังมีดอกไม้นานาพันธุ์ออกดอกบาน สะพรั่ง มีผีเสื้อตัวเล็กตัวน้อยบินไปมา อากาศหรือก็เย็นสบาย และในขณะ ที่หนูน้อยหมวกแดงกำลังเดินชื่นชมกับความงามของธรรมชาติสองข้างทาง ไปเรื่อย ๆ อยู่นั้น ก็เกิดได้มีหมาป่าตัวหนึ่งที่บังเอิญเดินผ่านมาเข้าพอดี มันหยุดชะงัก เพราะได้กลิ่นหอมของขนมพายจากตะกร้าของหนูน้อยหมวกแดงนั่นเอง ฉับพลันมันคิดว่า "ฉันต้องการขนมพายที่อยู่ในตะกร้านั่น และรวมทั้งเจ้าของตะกร้านั่นด้วย" และไวเท่าความคิด มันรีบวิ่งไปดักหน้าหนูน้อยหมวกแดงเอาไว้ ตอนแรกหนูน้อยก็ ตกใจเพราะเคยได้ยินมาว่า หมาป่ามันชอบกัดเด็ก แต่ด้วยเธอเป็นเด็กที่เชื่อคนง่ายนั่นเอง เธอหยุดยิ้มหวานให้ ดังนั้นเจ้าหมาป่าจึงรีบพูดขึ้นว่า "อย่าตกใจไปเลย หนูน้อย ฉันแค่อยากเป็นเพื่อนกับเธอ เท่านั้นจ้ะ แล้วนี่เธอจะไปไหนหรือ?" หมาป่าพูดพลางจ้อง ที่ตระกร้าขนมพายด้วยดวงตาเป็นมันวาวทีเดียว หนูน้อยหมวกแดงได้ตอบอย่างไม่ต้องคิดเลยว่า " หนูกำลังจะไปบ้านยาย จะเอาขนมพายนี่ไปให้ยายที่กำลังนอนป่วยอยู่ค่ะ" มันแอบยิ้มอย่างเจ้าเลห์ ก่อนที่จะพูดอีกว่า "ถ้าอย่างนั้น ทำไมไม่เก็บดอกไม้พวกนี้ไปฝาก ยายด้วยละจ้ะสวย ๆ ทั้งนั้นเลย" แต่หนูน้อยหมวกแดงไม่ทันสังเกตและสงสัยอะไร เพราะเธอกำลังคิดถึงเรื่องดอกไม้พวกนี้อยู่ว่า "เก็บดอกไม้แค่นี้ คงไม่เสียเวลามากหรอกมั้ง แล้วที่สำคัญคุณยายก็คงจะชอบมากด้วย " คิดได้ดังนั้น หนูน้อยหมวกแดงจึงแวะเก็บดอกไม้ด้วยความเพลิดเพลิน..
..
ส่วนเจ้าหมาป่าเมื่อมันได้ยินว่ายายของหนูน้อยหมวกแดงกำลัง นอนป่วยอยู่เท่านั้น มันก็คิดเปลี่ยนแผนการณ์ทันที " เดี๋ยวไปกินยายของมันก่อนดีกว่า...เพราะมันบอกว่ายายของมันกำลังไม่สบาย จะต้องไม่มีเรี่ยวแรงอะไรที่จะต่อสู้เราได้ และเมื่อกินยายของมันแล้ว ทีนี้ก็ดักรอ แล้วกินอ้ายเด็กนี่ทีหลัง..ฮ่ะ ๆๆๆ " มันได้รีบวิ่งไปที่บ้านของคุณยายที่นอนป่วย อยู่ทันที และเมื่อมันมาถึงก็เคาะประตูร้องเรียกแถมทำเสียงเลียนแบบหนูน้อย หมวกแดง " ยาย...คุณยายจ๋า เปิดประตูให้หนูหน่อย นี่หนูน้อยหมวกแดง เองจ้า.. เปิดประตูให้หน่อย สิจ๊ะ..." คุณยายที่อยู่ในบ้านก็เชื่อสนิทว่าเป็นเสียง ของหลานจริง ๆเสียด้วย แต่พอคุณยายเดินกระย่องกระแย่งมาเปิดประตูเพื่อรับ หลานรักเข้าเท่านั้นเอง.
..

หน้า 1 หน้า 2 หน้า 3


ENGLISH-->
รักเธอเท่าฟ้า...โดยสุขุมาลย์

มดกับตั๊กแตน

นิทานอีสป มดกับตั๊กแตน
มดเป็นเพื่อนกับตั๊กแตน พวกเขาพบกับแล้วร้องรำทำเพลงกันทุกวัน วันหนึ่งในฤดูร้อนมดพูดกับตั๊กแตนว่า “ฤดูฝนจะมาถึงแล้ว เรามาตระเตรียมที่อยู่และอาหารกันเถอะ” ตั๊กแตนตอบว่า “ เรายังมีเวลาอีกเยอะ เราร้องเพลงและเต้นรำกันเถอะ” แต่มดบอกว่า “เราไม่มีเวลาทำอย่างนั้นหรอก” มดทำงานอย่างหนัก เช้าวันหนึ่งฤดูฝนก็เริ่มขึ้น ฝนตกหนักแทบทุกวัน เจ้าตั๊กแตนไม่มีที่อยู่และอาหารกิน มันตัดสินใจไปหามดขออาหารจากมดแต่มดบอกเสียใจ ฉันไม่มีอะไรให้คนเกียจคร้านเจ้าตั๊กแตนจึงเดินกลับด้วยความเศร้า

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า “จงเตรียมพร้อมและตั้งมั่นอยู่ ในความไม่ประมาท สำหรับเหตุการณ์ในอนาคต

สุรินทร์ สุเรนทรารักษ์.นิทานอีสป มดกับตั๊กแตน .—กรุงเทพฯ:อักษราพิพัฒน์,มปป

โดย : นางสาว jeerapa sirimuch, ripw คลองหลวง ปทุมธานี 13180, วันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2545

กระต่ายกับเต่า

มีอยู่ในวันหนึ่ง ได้มีเต่าตัวหนึ่งคลานต้วมเตี้ยม ๆ มาตามวิสัยของมัน และที่ตรงอีกทางด้านหนึ่งก็ได้มีกระต่ายตัวหนึ่งวิ่งผ่านมา ทางนั้นเข้าอย่างบังเอิญด้วยความรวดเร็ว "ฮิฮิ! นี่เจ้าเต่า นายชอบ ที่จะเดินต่วมเตี้ยม ๆ อยู่อย่างนี้เสมอ ๆ ทำไมนายถึงได้เดินได้ช้าอย่างนั้นเล่า? " เต่าจึงได้พูดว่า " ถึงแม้ว่าข้าจะเดินได้ช้า แต่ถ้าพูดถึงเรื่องของความอดทนแล้วข้าไม่เคยแพ้ใคร

" One day, when a tortoise was walking, a rabbit came running from the other side. "hihi!, the tortoise. You walk slowly also today. Why do you walk slowly like that?" "I walk slowly but, nobody has bigger durability than mine." said the tortoise.

" นายลองมาแข่งขันวิ่งไปที่บนยอดเขานั่นกับข้าดูเอาไหมล่ะ ? " กระต่ายเมื่อได้ยินอย่างนั้น ก็หัวเราะลั่นอย่างดัง "ฮ่ะ ฮ้า น่าสนใจมาก เลยทีเดียว แต่รับรองได้ว่าไม่มีทางที่เจ้าจะ เอาชนะข้าไปได้หรอก มันเปรียบเทียบกันไม่ได้..ว่างั้น" กระต่ายเที่ยวไปเรียกพวกพ้องให้มาชุมนุมกันอย่างทันท่วงที และรวมทั้งให้เป็นกรรมการใน การแข่งขันอีกด้วย " ทุก ๆ คนมาดูเป็นสักขีพยานว่าใครจะเป็นผู้ชนะ ในการแข่งขันวิ่งเร็ว ระหว่างเต่าโง่กับตัวข้า..ฮ่ะฮ่ะ

" "You may compete with me to the top of that mountain." the tortoise said. The rabbit said, laughing aloud , "ha ha, It is interesting, Although It is impossible for you to win against me." The rabbit gathered friends promptly . The rabbit had a plan to give a disgrace and laugh at the tortoise. "Everybody, please look at the result of which one run fast in this dull tortoise and me ha ha."

" เตรียมพร้อม !,ไป " พอสิ้นเสียงบอกสัญญาณเริ่มการแข่งขันโดยสุนัขจิ้งจอก แล้วทั้งเต่าและกระต่ายก็เริ่มออกวิ่งไปพร้อม ๆ กัน " ปิย้อง ปิย้อง " กระต่าย กระโดดออกวิ่งนำหน้าไปด้วยความเร็วสูง เผลอแผลบเดียวมันก็วิ่งมาจนถึงที่ตรงจุดกึ่งกลาง ของทางระหว่างภูเขา มันจึงได้หยุดวิ่ง " เจ้าเต่ามันมาถึงไหนแล้วล่ะ ? " พูดแล้วมันก็ได้หันไปดู และก็ได้เห็นว่าเต่านั้นยังคงคลานตามมาอย่างช้า ๆ มองเห็นไกล ๆ

"Ready !, Go!" The tortoise and the rabbit started with the shout of a fox, simultaneously . "Pyon!Pyon!Hyew" The rabbit ran at uncanny speed. And, the rabbit had reached to the middle of a mountain in a moment . "Where is the tortoise?" When the rabbit looked back, the tortoise was walking far after .

พวกผู้ชมที่มาชุมนุมกันต่างก็หัวเราะและได้พูดว่า " ท่านเต่า..ท่านเต่า ท่านนี่ ช่างเป็นผู้ที่เดินได้ช้ามาก อาจที่จะพูดได้ว่าเดินได้ช้าที่สุดในโลกเลยก็ได้..ฮ่ะฮ่ะ " แม้ว่าจะได้ยินแบบนั้นแต่เต่าก็ไม่สนใจอะไรยังคงคลานของมันต่อไปด้วยความเงียบสงบอย่าง ตั้งใจเพื่อที่จะให้ไปถึงที่บนยอดเขาโดยไม่คิดที่จะหยุดพักผ่อน ข้างฝ่ายกระต่ายเมื่อรอเท่าไหร่ ๆ ก็ไม่เห็นมีทีท่าว่าเจ้าเต่าจะตามมาทันมันสักที...มันจึงเริ่ม นึกเบื่อกับการรอคอย " เจ้าเต่ามันยังคงคลานอยู่อีกตั้งไกล นอนรอซักงีบหนึ่งคงได้.. ถึงยังไงมันก็ไม่มีทางที่ตามมาทันได้หรอก" มันพูดแล้วก็ล้มตัวลงนอน แล้วหลับไปตรง ที่กลางทางตรงภูเขานั่นเอง

The audience laughed at him together, saying "Tortoise, tortoise, you are slowest in the world..ha ha." The tortoise was still walking aiming at the top of a mountain without doing a rest . The rabbit was tired of waiting, "The tortoise is yet far, I will also still do a nap for a while." He fell asleep at the midway of the mountain.

ในขณะที่กระต่ายกำลังหลับอยู่อย่างสนิท เต่าซึ่งได้เดินมาอย่างไม่คิดที่ จะหยุดพักผ่อนนั้น " ถึงแม้ว่าขาของข้าจะสั้นเดินได้ช้าก็จริงแต่เรื่องของ ความอดทนแล้วข้าไม่เคยยอมแพ้ให้ใคร ข้าจะต้องทำดีที่สุดเท่าที่ข้าจะทำได้!" หลังจากที่ในขณะที่เต่าได้เดิน มาจนถึงที่ตรงจุดกึ่งกลางของภูเขา พลันมันก็ได้ ยินเสียงหนึ่งซึ่งเป็นเหมือนกับเสียงกรนจากในที่แห่งหนึ่ง " เสียงกรนที่ไหนนี่... อะฮ้า เจ้ากระต่ายนี่ มันมาแอบนอนหลับอยู่ที่นี่เอง

" While the rabbit was sleeping, the tortoise is continuing walking without a rest . "Although I am a dull foot, I don't lose at durability to anybody . I will do my best!" After a while , when the tortoise came in the mountain, he heard a snore from some where. "What?, a snore is heard. Ah!, the rabbit is sleeping there."

ที่ใกล้ ๆ ตรงนั้นกระต่ายกำลังนอนหลับอยู่อย่างสุขสบาย ส่วนเต่านั้น ยังคงที่จะ เดินต่อไป...ทีละก้าว..ทีละก้าวอย่างจริงจังและอดทน และแล้วหลังจากนั้นชั่ว ขณะหนึ่งกระต่ายก็เริ่มรู้สึกตัวและสะดุ้งตื่นขึ้นมา " เฮ้..นี่เจ้าเต่า มันคลานมาจนถึงที่ไหนแล้วนี่?? " มันรีบกวาดสายตามองหา แต่ก็ช้าและสายไปเสียแล้ว เพราะเมื่อมันมองไปที่ตรงจุดเส้นชัยที่อยู่บนยอดเขาโน่น มันก็ได้เห็นว่าเจ้าเต่ากำลังแสดง ความยินดีที่ได้รับชัยชนะอยู่อย่างมีความสุข..อยู่ในขณะนั้นเสียแล้ว

Near the rabbit which is sleeping well , the tortoise walked step by step earnestly. After a while, the rabbit woke up at last. "Hee ! Where is the tortoise?" He looked for the tortoise, but he could not find it anywhere. when he noticed and looked at the top of a mountain, the tortoise was showing cheers there.

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
"ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จก็อยู่ที่นั่น เหมือนอย่างที่เต่าได้พบนะคะ
" let's have the perseverance which can work steadily like the tortoise. .